ประเทศไทยมีประชากร “วัยทำงาน” อายุ 16-60 ปี ราว 36 ล้านคน ส่วนหนึ่งมีปัญหาสุขภาพจากการทำงาน ดังนั้นการดูแลความปลอดภัย และชีวอนามัย จึงเป็นประเด็นที่เหล่าคนทำงาน และนายจ้าง ต้องให้ความสำคัญ เพื่อป้องกันอันตรายจากอาการเจ็บป่วย หรือที่เรียกว่า “โรคจากการประกอบอาชีพ”
นายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค ให้ข้อมูลว่า “โรคจากการประกอบอาชีพ” ตามประกาศของกระทรวงแรงงาน จะมีด้วยกัน 8 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มที่เกิดจากสารเคมี เช่น ตะกั่ว สารหนู หรือปรอท 2.กลุ่มที่เกิดจากลักษณะทางกายภาพ เช่น ต้องเจอกับเสียงดัง ความกดอากาศ หรือการสั่นสะเทือนในสถานประกอบการทุกวัน จนส่งผลให้ “หูตึง” เป็นต้น 3.กลุ่มที่เกิดจากสาเหตุทางชีวภาพ 4.กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคปอด 5.กลุ่มโรคผิวหนัง 6.กลุ่มโรคระบบกล้ามเนื้อและโครงสร้างกระดูก 7.กลุ่มโรคมะเร็งและ 8.กลุ่มโรคอื่นๆ
สำหรับ “กลุ่มที่เกิดจากสารเคมี” สาเหตุหลักๆ เพราะรับ “พิษ” จากสารกำจัดศัตรูพืช โดยข้อมูลจาก “สำนักระบาดวิทยา” กรมควบคุมโรค ระบุว่า จากข้อมูลปี 2543-2552 มีผู้ป่วยเฉลี่ยปีละ 1,996 ราย “อาชีพ” ที่ป่วยด้วยสารเคมีในปี 2552 พบว่า เป็นกลุ่ม “เกษตรกร” มากที่สุด 694 ราย รองลงมา คือ รับจ้าง, เด็กและนักเรียน “ช่วงเวลา” เจ็บป่วยส่วนใหญ่สัมพันธ์กับวิถีการเพาะปลูกในแต่ละช่วงปี จากข้อมูลในปี 2552 พบว่า ช่วงที่มีผู้ป่วยสูงที่สุด คือ “มิถุนายน-สิงหาคม” ซึ่งเป็นช่วง “ฤดูฝน” เริ่มมีการเพาะปลูกและมีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชร่วมด้วย
ส่วนกลุ่มที่ “เจ็บป่วย” เพราะสารเคมี โดยมี “ตะกั่ว” เป็นสาเหตุหลักนั้น พบว่า ปี 2543-2552 มีรายงานผู้ป่วย 397 ราย เฉลี่ยปีละ 40 ราย “กลุ่มเสี่ยง” ต่อการรับพิษจากสารตะกั่ว คือ คนทำงานโรงงานที่มีการใช้แร่ชนิดนี้ อาทิ โรงงานถลุงและหลอมตะกั่ว โรงงานทำแบตเตอรี่ หม้อน้ำรถยนต์ สีทาบ้าน เป็นต้น ซึ่งเมื่อร่างกายได้รับสารชนิดนี้โดยการสูดดม รับประทาน หรือสัมผัสเป็นเวลานาน จะเกิดการสะสมในร่างกาย จนแสดงอาการเจ็บป่วยในที่สุด
ขณะที่กลุ่มโรคระบบทางเดินหายใจ ซึ่งส่วนใหญ่จะพบเป็น “โรคปอด” จากข้อมูลปี 2543-2552 พบว่า แนวโน้มคนป่วยจากโรคนี้มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปี 2543 มีผู้ป่วย 0.19 คนต่อแสนประชากร เพิ่มเป็น 0.41 คนต่อแสนประชากร ในปี 2552 ซึ่งมักพบผู้ป่วยจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ โรคปอดจากฝุ่นหินทราย และโรคปอดจากแร่ใยหิน ที่ส่งผลต่อสมรรถภาพปอดของคนงานให้อยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์.....
สารเคมีที่ใช้ในการทำงานเป็น “ภัยเงียบ” ที่อาจไม่ได้ก่อผลกระทบทางสุขภาพอย่างเฉียบพลัน ทำให้คนทำงานและผู้ประกอบการละเลยถึงการป้องกันความปลอดภัย!!!
อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวอีกว่า จากข้อมูลแรงงานปี 2556 ยังพบว่า “อาชีพเสี่ยง” ต่อการ “เจ็บเพราะงาน” ของคนไทยส่วนใหญ่ คือ กลุ่มที่ทำงาน “รับเหมาก่อสร้าง” รองลงมา คือ กลุ่มที่ทำงานเกี่ยวกับการผลิตเครื่องดื่ม เครื่องใช้ไฟฟ้า
ยานพาหนะ พลาสติก และหลอมโลหะต่างๆ ส่วน “จังหวัด” ที่พบผู้ป่วยจากการทำงานเป็นลำดับต้นๆของประเทศ คือ กรุงเทพฯ, สมุทรปราการ, ชลบุรี, สมุทรสาคร และปทุมธานี ซึ่งล้วนเป็นแหล่งอุตสาหกรรมทั้งสิ้น
“แต่ที่น่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน คือ กลุ่มพนักงานออฟฟิศซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลการรักษา พบว่า มีพนักงานออฟฟิศได้รับอุบัติเหตุทางกายภาพในแต่ละวันนับหมื่นคน และเพิ่มขึ้นทุกปี โดยส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ได้รับบาดเจ็บจากการถูกสิ่งของมีคมทิ่มแทง หรือวัตถุหนักๆ หล่นทับ ซึ่งถือเป็นความไม่ปลอดภัยในการทำงานที่ต้องมีการแก้ไขต่อไป” อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าว
ไล่เลียงตรวจสอบข้อมูลในเรื่องนี้ พบว่า “เจ็บเพราะงานตัวเลขทะยานทะลุหลักล้าน” เข้าไปแล้ว โดยข้อมูลการเจ็บป่วยจากฐานข้อมูล “ประกันสังคม” แค่ปี 2551 พบว่า ผู้ประสบภัยหรือเจ็บป่วยจากการทำงานทั่วประเทศ 176,502 ราย โดยเป็นผู้ป่วยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลมากที่สุด จำนวน 111,740 ราย
ขณะที่ “กลุ่มแรงงานนอกระบบ” มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือประสบอุบัติเหตุมากถึง 4.6 ล้านคน หรือ ร้อยละ 18.9 โดยเฉลี่ยวันละ 12,603 คน ส่วนใหญ่ได้รับบาดเจ็บจากของมีคมหรือทิ่มแทง ร้อยละ 68.7 รองลงมา คือ การพลัดหกล้ม ร้อยละ 13.5 การชนและกระแทก ร้อยละ 7.8 นอกจากนี้ยังมีสาเหตุอื่นๆ อีกมากมาย อาทิ ไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวก อุบัติเหตุจากยานพาหนะ ได้รับสารเคมี และไฟฟ้าช็อต เป็นต้น
นายแพทย์โสภณ กล่าวด้วยว่า โรคหรืออุบัติภัยจากการทำงาน “ป้องกัน” ได้ ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับแต่ละอาชีพ แต่ละสถานประกอบการว่ามีมาตรการป้องกันอย่างไร เช่น อาชีพที่ต้องทำงานกับสารเคมี หรือเครื่องจักรจะมีหลักการทั่วๆ ไป 3 ข้อ คือ 1.ควบคุมที่แหล่งกำเนิด หรือ “จุดเกิดเหตุ” เช่น กลุ่มที่ใช้เครื่องจักรก็ควรควบคุมการหมุนของเครื่องจักรอย่างระมัดระวัง ส่วนกลุ่มที่ใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชอาจเปลี่ยนมาเป็นใช้ “สารอินทรีย์” แทน
2.ควบคุมทางผ่านระหว่างกลางตั้งแต่จุดกำเนิดกลับมาถึงคน เช่น ถ้าเครื่องจักรเสียงดังก็ต้องมีห้องแยกกั้นระหว่างเครื่องจักรกับคนไม่ให้เสียงดังมาถึงคนได้ง่าย และ 3.ควบคุมที่ตัวบุคคล เช่น ใส่อุปกรณ์ป้องกัน ใส่หน้ากากป้องกันเคมี ฝุ่น ใส่แว่นนิรภัย หรือใส่ถุงมือ อุปกรณ์ครอบหู เป็นต้น
“แต่พนักงานออฟฟิศที่ส่วนใหญ่มักจะใช้เวลานั่งอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ไม่ค่อยได้ขยับไปไหน มักมีปัญหาเรื่องกล้ามเนื้อ และสายตา จึงต้องระวังเป็นพิเศษ ทางที่ดีควรตัดแว่นสายตาที่ปรับแสงอัตโนมัติได้ เพราะเมื่อดวงตากระทบกับแสงจ้าเป็นเวลานานๆ อาจทำให้ระคายเคืองได้ ขณะเดียวกันการนั่งทำงานก็ควรจะบริหารกล้ามเนื้อไปด้วย โดยการยกขาขึ้นลงสลับกันและลุกออกจากที่นั่งไปเดินเล่นบ้าง ทำเช่นนี้แค่วันละ 20-30 นาทีเท่านั้นก็จะช่วยในเรื่องของกล้ามเนื้อได้” อธิบดีกรมควบคุมโรค แนะนำ
ด้าน นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า อันตรายจากสารเคมีก่อให้เกิดโรคต่างๆตามมา พบอาการป่วยตั้งแต่เล็กน้อยจนรุนแรงถึงเสียชีวิต ขึ้นอยู่กับความเป็นพิษ และระยะเวลาที่ได้รับ ดังนั้น กลุ่มอาชีพเกษตรกรควรใส่ใจดูแลสุขภาพของตนเอง เพื่อป้องกันโรคที่อาจเกิดจากการทำงาน โดยหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ
“เกษตรกรควรอ่านฉลากให้เข้าใจถึงวิธีการใช้สารเคมี ไม่ใช้เครื่องพ่นสารเคมีที่ชำรุด ซึ่งอาจรั่วซึมเปื้อนเสื้อผ้าได้ ควรสวมเสื้อ หน้ากากให้มิดชิดทั้งก่อนและในขณะพ่นสารเคมี เพื่อป้องกันถูกผิวหนัง และรีบชำระร่างกายด้วยสบู่และทำความสะอาดเครื่องมือทุกครั้งหลังจากปฏิบัติงานเสร็จ เป็นต้น” นายแพทย์สุพรรณ กล่าวทิ้งท้าย
บุษยมาศ ซองรัมย์
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี