การแก้ไขปัญหา “รุกป่า” ถือเป็นหนึ่งในนโยบายหลักที่รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา “รุกฆาต” เดินหน้าใช้มาตรการปราบปราบ และบังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำผิดโดยเฉียบขาด ซึ่ง “กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” ในฐานะหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบดูแลทรัพยากรป่าไม้ ก็เดินหน้าสนองนโยบายเต็มพิกัด โดยนอกจากป่าบก และอุทยานแห่งชาติทางทะเลแล้ว…..
“ป่าชายเลน”
เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ภายใต้การกำกับของ “พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ” ตั้งเป้า “ยึดคืน” และ “ฟื้นฟู” สภาพพื้นที่ให้กลับคืนมา หลังจากพบว่าหลายสิบปีที่ผ่านมาถูกบุกรุกทำลายจำนวนมาก
ข้อมูลจาก “สำนักอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลน” กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง(ทช.) ระบุว่า แม้จะมีกฎหมายหลายฉบับคุ้มครอง แต่ป่าชายเลนก็ยังถูกบุกรุกทำลายอย่างต่อเนื่อง จากปี 2504 มีอยู่กว่า 2.29 ล้านไร่ ใน 22 จังหวัดชายฝั่งทะเล ลดเหลือเพียง 1.52 ล้านไร่ ในปี 2552 ซึ่งนอกจากถูกบุกรุกทำลายโดยประชาชน นายทุน ผู้มีอิทธิพล โดยเข้าไปใช้ประโยชน์ทั้งทำการเกษตร อยู่อาศัย เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำแล้ว
ปัญหาการบุกรุกทำลายป่าชายเลนส่วนหนึ่งยังมาจาก “นโยบายรัฐ” ได้แก่ 1.การออกโฉนดที่ดินและหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โดยเฉพาะแบบแจ้งการครอบครอง(ส.ค.1) ซึ่งผู้ครอบครองมักกล่าวอ้างอาณาเขตติดต่อ และลักษณะการทำประโยชน์ ยากต่อการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ 2.การจัดที่ดินโดยการปฏิรูปที่ดินในเขตป่าชายเลน ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาการซื้อสิทธิครอบครอง และการกล่าวอ้างสิทธิครอบครองที่ดินโดยระบุว่ามีการทำเกษตร หรือปลูกพืช เป็นต้น และ 3.การจัดให้มี “โฉนดชุมชน” ตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการจัดให้มีโฉนดชุมชน พ.ศ. 2553
จากการสำรวจของ “สำนักอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลน” ระหว่างปี 2548-2552 พบว่า มีการถือครองที่ดินป่าชายเลน ทั้งแบบมีเอกสารสิทธิ และไม่มีเอกสารสิทธิ รวมทั้งสิ้น 6.41 แสนไร่ และเมื่อจำแนกตามเอกสารสิทธิ พบว่า 1.เป็นที่ดินมีโฉนดที่ดิน 3.31 แสนไร่ หรือ 51.60% ของพื้นที่ทั้งหมด 2.หนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 และ น.ส.3 ก.) เนื้อที่ 7.75 หมื่นไร่ หรือ 12.09% 3.ใบแจ้งการครอบครอง(ส.ค.1) เนื้อที่ 9.82 พันไร่ หรือ 1.53% 4.ไม่มีเอกสารสิทธิ เนื้อที่ 1.88 แสนไร่ หรือ 29.3% และ 5.ถือเอกสารอื่นๆ อาทิ ภ.บ.ท.5, ส.ป.ก.เนื้อที่ 3.48 หมื่นไร่ หรือ 5.43%
ด้วยเหตุนี้ ทช.จึงเสนอแนวทางแก้ปัญหาการบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลน โดยหนึ่งในมาตรการแก้ไขปัญหา คือ กำหนดให้เป็น “พื้นที่คุ้มครองอนุรักษ์” ตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ.2558 ซึ่งได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2558 ที่ผ่านมา และจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายนนี้ โดย พ.ร.บ.ฉบับนี้ให้สิทธิเจ้าหน้าที่ “รื้อถอน” สิ่งปลูกสร้างได้ทันที ถ้าพบว่าบุกรุกพื้นที่ป่าชายเลนที่ประกาศเป็นพื้นที่คุ้มครองแล้ว ซึ่งทันทีที่มี “อาวุธ” ในมือ ทช.ก็เดินหน้าแผน “ยึดคืน” ป่าชายเลนทันที ด้วยการประกาศพื้นที่ “โซนนิ่ง” คุ้มครองป่าชายเลนนำร่องที่ จ.ระยอง เป็นแห่งแรก และเตรียมขยายผลไปยังพื้นที่ป่าชายเลนทั่วประเทศ
“พล.อ.ดาว์พงษ์”กล่าวว่า กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ มีภารกิจผลักดันยุทธศาสตร์ มาตรการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งบูรณาการสร้างการมีส่วนร่วมกับภาคีทุกภาคส่วนในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยเน้นเพิ่มพื้นที่ทรัพยากรป่าไม้ สัตว์ป่า ทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง เพื่อให้ทรัพยากรเหล่านี้ได้รับการคุ้มครอง จัดสรรอย่างสมดุล เมื่อรัฐบาลให้ความสำคัญกำหนดสาระสำคัญเกี่ยวกับเขตอนุรักษ์และสงวนคุ้มครองพื้นที่ป่าชายเลนไว้ใน พ.ร.บ.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ.2558 ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯก็จะเร่ง “ทวงคืน” ป่าชายเลนให้กลับมาโดยเร็ว
ล่าสุด กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ วางแผนการยึดคืนพื้นที่ป่าชายเลน ด้วยการ “โซนนิ่ง” โดยจัดกิจกรรม “ปลูกป่าชายเลนเฉลิมพระเกียรติครบ 60 พรรษา 5 รอบ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี” ในพื้นที่ ต.บ้านครก และ ต.เนินฆ้อ อ.แกลง จ.ระยอง เพื่อหวังฟื้นฟูสภาพป่าชายเลนที่ถูกบุกรุกทำลาย โดยน้อมนำแนวพระราชดำริของสมเด็จพระเทพรัตนฯ ในด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าชายเลนมาปฏิบัติจริง
“ปัจจุบันป่าชายเลนของไทยเหลืออยู่เพียง 1.52 ล้านไร่ ซึ่งเป็นผลมาจากการถูกบุกรุกทำการเกษตร เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ อุตสาหกรรม และจากปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ทางกระทรวงทรัพยากรฯ จึงจำเป็นที่จะต้องเร่งฟื้นฟูสภาพป่าชายเลนให้กลับคืนมาโดยเร็ว” พล.อ.ดาว์พงษ์ กล่าว
ด้าน “นายชลธิศ สุรัสวดี” อธิบดี ทช. กล่าวว่า ภายใต้ พ.ร.บ.ส่งเสริมการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง พ.ศ. 2558 ได้กำหนดให้พื้นที่ป่าชายเลนเป็น “พื้นที่คุ้มครองอนุรักษ์” กรมจึงได้นำร่องเตรียมกำหนดพื้นที่ป่าชายเลนในเขต อ.แกลง จ.ระยอง กว่า 3,000 ไร่ ให้เป็นพื้นที่สงวนและอนุรักษ์ในลักษณะของ “โซนนิ่ง” ซึ่งสาเหตุที่เลือก จ.ระยอง เพราะเดิมทั้ง จ.ระยอง มีพื้นที่ป่าชายเลนมากกว่า 3 หมื่นไร่ แต่ปัจจุบันเหลือเพียงหมื่นกว่าไร่ เนื่องจากถูกบุกรุกทำนากุ้ง และพื้นที่ชุมชน เป็นต้น จนสร้างผลกระทบต่อระบบนิเวศชายฝั่ง
สำหรับแผน “โซนนิ่ง” พื้นที่ป่าชายเลนใน อ.แกลง จ.ระยอง ครั้งนี้ได้แบ่งเขตพื้นที่เป็น 3 โซน คือ 1.โซนป่าอนุรักษ์ 2.โซนป่าชุมชน และ 3.โซนป่าเศรษฐกิจ โดยใช้ภาพถ่ายดาวเทียม และข้อมูลการสำรวจภาคสนามเป็นตัวกำหนด ซึ่งจะได้มีการจัดทำเป็น “แถบสี” แบ่งเขตให้เห็นชัดเจนว่าพื้นที่ป่าชายเลนบริเวณใดมีความอุดมสมบูรณ์ และอยู่ในกลุ่มโซนใด โดย “โซนป่าเศรษฐกิจ” ประชาชนเข้าไปใช้ประโยชน์ได้ ขณะที่ “โซนป่าอนุรักษ์-ป่าชุมชน” เป็น “เขตพิทักษ์” ชุมชนต้องร่วมกันดูแล เชื่อว่าวิธีนี้จะช่วยให้ป่าชายเลนเกิดความสมดุลระหว่างการอนุรักษ์กับการใช้ประโยชน์
“พ.ร.บ.ฉบับใหม่จะช่วยให้แผนเดินหน้ายึดคืนพื้นที่ป่าชายเลนที่ถูกบุกรุกเกิดผลสำเร็จได้ นอกจากนี้ยังมีการฟื้นฟูให้เกิดความสมบูรณ์อย่างยั่งยืนควบคู่กันด้วย” นายชลธิศ กล่าวทิ้งท้าย
นี่คืออีกหนึ่งแผน “ทวงคืนผืนป่า” โดยมี “ป่าชายเลน” เป็นเป้าหมายสำคัญ ซึ่งโดย “ภาพ” ที่เห็นบ่งชี้ว่ารัฐบาลปัจจุบันไม่ได้ “เกียร์ว่าง” ส่วนในความเป็นจริงเชื่อว่าถ้าไม่ทำแบบ “ไฟไหม้ฟาง” ปฏิบัติการครั้งนี้น่าจะมีผลสำเร็จให้เห็นไม่มากก็น้อย
บุษยมาศ ซองรัมย์
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี