“พญาอินทรี” สหรัฐอเมริกา..ชาติมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลก ไม่ว่าจะเป็นด้านการทหาร เศรษฐกิจ การศึกษา เทคโนโลยี หรือแม้กระทั่งสังคม-วัฒนธรรม หลายสิบปีที่ผ่านมา “วิถีแบบอเมริกัน” ถูกส่งออกไปยังทุกมุมโลกผ่านนโยบายต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ทุนผู้เรียนดีในประเทศกำลังพัฒนา ให้มาศึกษาต่อในสหรัฐฯ การแสวงหาความร่วมมือทางการทหาร หรือแม้กระทั่งผ่านสื่อบันเทิงโดยมีภาพยนตร์จาก “ฮอลลีวู้ด” (Hollywood) เป็นตัวชูโรง
ภายใต้ค่านิยมหลัก “การเมืองแบบประชาธิปไตย เศรษฐกิจแบบทุนนิยม และสังคมแบบเสรีนิยม”!!!
ทว่าอีกด้านหนึ่ง นักคิดจากหลายประเทศ ได้ตั้งข้อสังเกตว่า นโยบายลักษณะนี้ของสหรัฐฯ ทำจริงอย่างที่พูดไว้จริงหรือเปล่า? เช่น ในช่วงสงครามเย็น พบว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ที่บอกว่า “รักประชาธิปไตย” นักหนา แต่กลับให้การสนับสนุนหลายประเทศที่มีผู้ปกครองเป็นเผด็จการ เพียงเพราะผู้ปกครองประเทศเหล่านั้น ให้การสนับสนุนสหรัฐฯ ต่อสู้กับฝ่ายคอมมิวนิสต์ อันมีสหภาพโซเวียต (รัสเซีย) กับสาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นแกนนำ
หรือในยุคนี้ ที่รัฐบาลสหรัฐฯ บอกว่าส่งเสริมเสรีภาพของปัจเจกชน แต่กลับมีรายงานออกมาว่า รัฐบาลมีโครงการลับมากมายที่พยายามสอดส่องประชาชนในทุกอิริยาบถ ดังเช่นที่ เอ็ดเวิร์ด สโนว์เดน (Edward Snowden) อดีตเจ้าหน้าที่สำนักข่าวกรองกลางสหรัฐฯ หรือ “ซีไอเอ” (CIA) ออกมาแฉว่า รัฐบาลพญาอินทรีมีความพยายามพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถดักฟัง-ดักรับข้อมูลการติดต่อสื่อสาร ทั้งทางโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต ที่ไหลเวียนอยู่ทั่วโลกได้ ซึ่งถือเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลเป็นอย่างมาก
เข้าทำนอง “ปากว่าตาขยิบ” พูดอย่างหนึ่ง แต่ทำอีกอย่างหนึ่งหรือไม่?
“ท่าทีของสหรัฐต่อประเทศต่างๆในโลก โดยเฉพาะภูมิภาคของเรา ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้า ผมเชื่อว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะมาจากพรรครีพับลิกันหรือเดโมแครต ในเนื้อหาแล้วทิศทางจะไม่มีความแตกต่างกัน ถ้าจะแตกต่างกันก็ที่จุดเน้นจะอยู่ตรงไหน แต่จุดหมายที่สำคัญไม่ได้เปลี่ยน เรียกได้ว่าสหรัฐไม่ต้องการแค่แสดงให้ประชาคมโลกเห็นว่าสหรัฐเป็นมหาอำนาจ แต่ต้องการให้เห็นด้วยว่าสหรัฐมีสถานะที่ครอบงำโลกได้”
สุรพงษ์ ชัยนาม อดีตเอกอัครราชทูต 5 ประเทศ กล่าวในงานเวทีเสวนา “โลกเปลี่ยนขั้วกับอนาคตประเทศไทย" เมื่อเดือน มี.ค. 2558 ณ โรงแรมเดอะ สุโกศล กรุงเทพฯ ถึงท่าทีของสหรัฐอเมริกา ที่ไม่ได้ต้องการประกาศว่าตนเป็นชาติมหาอำนาจเท่านั้น แต่ยังต้องการ “ปกครองโลก” เพียงผู้เดียว เหนือรัฐชาติอื่นๆ ด้วย
สุรพงษ์ กล่าวต่อไปว่า หากสังเกตให้ดีจะพบว่า สหรัฐฯ รวมถึงพันธมิตรโลกตะวันตก พยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อสลายความเป็น “ชาตินิยม” ของประชาชนในรัฐชาติอื่นๆ ผ่านเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสรี และการเมืองแบบประชาธิปไตย ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือการตั้งสถาบันระดับนานาชาติขึ้นมา เพื่อส่งเสริมกฎกติกาต่างๆ ที่ตนได้ร่างขึ้น โดยหวังว่าความตกลงเหล่านี้ จะทำให้ชาติเล็กๆ ทั้งหลาย “อยู่ในอาณัติ” ของสหรัฐ ไม่หันไปหามหาอำนาจขั้วอื่นๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “พญามังกร” สาธารณรัฐประชาชนจีน ที่กำลังเติบโตขึ้นมาท้าทายสหรัฐฯ อยู่ขณะนี้!!!
“ในปัจจุบันสิ่งที่โลกตะวันตก อย่างสหรัฐและกลุ่มเศรษฐกิจของโลกตะวันตก สิ่งที่เขากลัวมากที่สุดคือลัทธิชาตินิยมต่างๆ ในโลก นโยบายของประเทศต่างๆ ที่จะคิดหาทางดำเนินนโยบายของตนเองที่สามารถรักษาผลประโยชน์ของชาติ ความเป็นตัวของตัวเองได้ในแต่ละประเทศ อันนี้คือสิ่งที่ตะวันตกกลัว คือในขณะนี้ยังไม่มีรูปแบบเศรษฐกิจเข้ามาท้าทายเศรษฐกิจทุนนิยมขนาดใหญ่ได้ จึงจะต้องหาทางดำเนินการมาตรการต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มีระบบเศรษฐกิจอื่นมาท้าทายอำนาจทุนนิยม
โดยล็อกประเทศต่างๆให้อยู่ในสถาบัน กฎกติกา สนธิสัญญาต่างๆ ให้สมัครเป็นสมาชิก เพื่อหวังว่าสถาบันเหล่านี้ ความตกลงเหล่านี้จะเป็นเครื่องมือกำกับความคิด พฤติกรรมการดำเนินการ ของประเทศเหล่านั้น ให้อยู่ในกรอบที่สหรัฐต้องการ หรือทำยังไงไม่ให้จีนเข้ามามีอำนาจท้าทายกับสหรัฐได้ เอาจีนเข้ามาเป็นสมาชิก องค์กรต่างๆในโลก แล้วเอากติกาเหล่านี้ตีกรอบจีนไว้
แต่ทางออกสำคัญคือยุทธศาสตร์ที่สหรัฐใช้ต่อประเทศต่างๆในโลกปัจจุบัน คือ ในเรื่องระบบการเมืองการปกครองภายในของประเทศเหล่านี้ สหรัฐคิดว่าวิธีกำกับ ดูแล ครอบงำประเทศเหล่านี้ให้อยู่ในกรอบก็คือเรื่องของประชาธิปไตย” อดีตเอกอัครราชทูต รายนี้ ระบุ
ทว่าแม้สหรัฐฯ จะพยายามใช้กรอบต่างๆ ไปกำหนดชะตากรรมของรัฐชาติอื่นๆ แต่สำนวนที่ว่า “คนเรายิ่งถูกกดขี่ก็ยิ่งมีปฏิกิริยาต่อต้าน” ยังคงเป็นสัจธรรมเสมอ มีการวิพากษ์วิจารณ์นโยบายของสหรัฐฯ อย่างกว้างขวางไปทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นที่เวเนซูเอลา ในยุคของอดีตประธานาธิบดี ฮูโก้ ชาเวซ ที่ต่อต้านกลุ่มทุนสหรัฐฯ ซึ่งจะเข้ามาหาผลประโยชน์จากทรัพยากรน้ำมันในประเทศ
หรือความพยายามสร้างกรอบความร่วมมืออื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสหรัฐฯ เช่น “บริคส์” (BRICS) ที่เป็นการรวมตัวของชาติยักษ์ใหญ่ 5 ประเทศ ประกอบด้วย บราซิล รัสเซีย อินเดีย จีน และแอฟริกาใต้ ที่ไม่นานนี้เพิ่งจัดตั้งธนาคารกลางของตนขึ้นมาเพื่อคานอำนาจกับ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ “ไอเอ็มเอฟ” (IMF) ที่รู้กันว่าสหรัฐฯ อยู่เบื้องหลัง หรือล่าสุดที่กำลัง “เขย่าโลก” อยู่ขณะนี้ คือจีนประกาศตั้ง ธนาคารเพื่อการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชีย (AIIB) และมี 4 ชาติชั้นนำของยุโรป อย่างอังกฤษ เยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี ประกาศเข้าร่วมด้วย
เรียกว่าเป็นการ “ตบหน้า” พญาอินทรี “อย่างแรง” ที่มิตรเก่ามิตรแก่ หันไป “ซบอก” คู่แข่งเสียแล้ว!!!
ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ คณบดีวิทยาลัยบริหารรัฐกิจและรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต ให้ความเห็นว่า คงไม่ใช่เรื่องง่ายอีกแล้ว ที่สหรัฐฯ จะยังคงดำรงสถานะ “มหาอำนาจหนึ่งเดียว” ของโลกใบนี้เหนือรัฐชาติอื่นๆ โดยยกตัวอย่างมากมาย เช่น ในอดีตสหรัฐฯ คือเจ้าหนี้รายใหญ่ของโลก แต่ปัจจุบันสหรัฐฯ กลับกลายเป็นประเทศที่มีหนี้สินสูงที่สุดในโลก
และการที่ประสบภาวะ “หนี้ท่วม” เช่นนี้เอง ส่งผลให้อาวุธยุทโธปกรณ์ของสหรัฐฯ ที่ว่ากันว่าทันสมัยที่สุดในโลก ไม่สามารถผลิตออกมาได้ตามความต้องการของกองทัพ แม้กระทั่งการซ่อมบำรุงอาวุธที่ประจำการอยู่ ก็ไม่สามารถทำได้เต็มที่ เพราะงบประมาณของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ คงไม่อาจเพิ่มไปมากกว่าที่เป็นอยู่ได้อีกแล้ว
“สมัยที่เรียนอยู่อเมริกา เศรษฐกิจอเมริกาประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีโลก ตอนนั้นน่าจะไม่ต่ำกว่า 60 แต่มันจะตกต่ำลงเรื่อยๆ ตั้งแต่เอากองทัพเรือกองทัพอากาศเข้ามา ผมอยากจะย้ำว่าสหรัฐอเมริกาไม่มีงบประมาณเท่าไรหรอก เรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐก็ลดลงเรื่อยๆ เพราะต่อใหม่ไม่ได้ ในขณะที่เรือบรรทุกเครื่องบินของจีน มันมีแต่จะเพิ่มขึ้น เพราะฉะนั้นที่จะคิดง่ายๆ ว่าอเมริกาจะใช้อุปกรณ์อะไรได้มากมายนัก ผมว่ายาก
เพราะว่าตอนนี้สหรัฐเป็นหนี้ต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตอนผมเป็นเด็กๆ สหรัฐเป็นเจ้าหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ตอนที่ผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว สหรัฐเป็นลูกหนี้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทีนี้ต้องมีงบประมาณในการจ่ายหนี้ ซึ่งงบประมาณนี้สูงเท่างบประมาณกระทรวงกลาโหม เพราะฉะนั้นงบประมาณกลาโหมไม่มีวันใหญ่กว่านี้ได้แล้วมีแต่ต้องเล็กลง เพราะภาระในการจ่ายเงินคืนมันสูงมาก เพราะการเป็นหนี้มากจะล้มละลายได้” อาจารย์เอนก ระบุ
และเพราะ “โลกไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว” หลายชาติพยายาม “เป็นตัวของตัวเอง” มากขึ้น ไม่ยอมเชื่อฟังสหรัฐฯ ทุกเรื่องอย่างในอดีตอีกต่อไป ประเด็นเหล่านี้ ท่านทูตสุรพงษ์ จึงฝากข้อคิดไปยังมหาอำนาจใหญ่รายนี้ ว่าคงถึงเวลาแล้วที่ต้อง “ยอมรับ” ว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะ “ครองโลก” แต่เพียงผู้เดียว หากแต่ควรยอมรับความหลากหลายของขั้วอำนาจ และแสวงหาความร่วมมือระหว่างกัน ในฐานะเท่าเทียมกัน มากกว่าที่จะเข้าไปครอบงำอย่างที่เคยเป็นมา
“ถ้าสหรัฐอยากจะเป็นผู้มีอำนาจนำ คุณก็ต้องมีอำนาจนำ ไม่ใช่ไปครอบงำ การนำหมายถึงการที่เราต้องยอมรับความยินยอมจากประชาคมระหว่างประเทศ แต่ถ้าจะครอบงำก็ไม่ต้องแสวงหาความยินยอม นี่จึงเป็นปัญหาใหญ่ คือเป็นการดำเนินการเพื่อครอบงำไม่ใช่เพื่อนำ ไม่ว่าจะเป็นระเบียบโลก หรือระเบียบอะไรก็ตาม ที่สุดแล้วความชอบธรรมจะเกิดขึ้นได้ต้องเป็นที่ยอมรับ เพราะความชอบธรรมจากระบอบประชาธิปไตยอย่างน้อยมาจากประชาชน ความเป็นผู้นำมันหมายถึง บุคคลนี้ รัฐบาลนี้หรือประเทศนี้ จะต้องเป็นที่ยอมรับได้” ท่านทูตสุรพงษ์ ฝากทิ้งท้าย
ชนัดดา บุญครอง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี