กว่า 10 ปีแล้วกับสถานการณ์ความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงเมื่อใด แม้ทุกรัฐบาลจะให้ความสนใจ ระดมสรรพกำลังลงไปเพื่อหวังแก้ปัญหาก็ตาม ด้านหนึ่งแม้จะสร้างความ “อุ่นใจ” ทั้งต่อคนนอกและคนในพื้นที่ได้บ้าง ทำให้ผู้ก่อเหตุลงมือได้ยากขึ้น แต่อีกด้านหนึ่ง “ปฏิบัติการเชิงรุก” ทั้งการปิดล้อม ตรวจค้นและจับกุม ถูกตั้งข้อสังเกตว่าบางครั้งผู้ต้องสงสัยอาจมิใช่คนร้ายตัวจริง ทำให้เกิดความไม่สบายใจ และความหวาดระแวงกันระหว่างชาวบ้านกับเจ้าหน้าที่
ตัวอย่างล่าสุดคือเหตุการณ์เมื่อ 25 มี.ค. 2558 ทหารสนธิกำลังกับตำรวจ สภ.ทุ่งยางแดง เข้าตรวจค้นในพื้นที่หมู่ที่ 6 บ้านโต๊ะชุด ต.พิเทน อ.ทุ่งยางแดง จ.ปัตตานี มีผู้ถูกควบคุมตัวจำนวน 22 คน และเสียชีวิตในที่เกิดเหตุ 4 ศพ ทว่าชาวบ้านยืนยันว่าทั้ง 4 คน ไม่น่าใช่แนวร่วมผู้ก่อความไม่สงบ ซึ่ง นายวีรพงศ์ แก้วสุวรรณ ผู้ว่าราชการจังหวัดปัตตานี รับปากว่าจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และในเวลาต่อมาก็มีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนหาข้อเท็จจริง
7 เม.ย. 2558 วันแถลงผลการสอบสวน..พบว่าทั้ง 4 คน ไม่ใช่แนวร่วมผู้ก่อความไม่สงบแต่อย่างใด!!!
นางซูรายา สาเม็ง อายุ 46 ปี มารดาของ นายคอลิด สาเม็ง อดีตนักศึกษามหาวิทยาลัยฟาฎอนีย์ 1 ใน 4 ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ครั้งนี้ กล่าวกับผู้สื่อข่าวด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อย เพราะ “คอลิด” บุตรชายของตนนั้นเป็นคนเรียนดี และมีความฝันอยากเป็น “ปลัดอำเภอ” เพื่อกลับมาพัฒนาบ้านเกิด
แม้ผลการสอบสวนจะยืนยัน “ความบริสุทธิ์” ของบุตรชาย!!!
แต่ “ชีวิตที่สูญเสีย” ทำอย่างไรก็ไม่อาจ “หวนคืน”!!!
“คอลิดเป็นเด็กที่เจ้าระเบียบ ไปไหนมาไหนเขามักพกเครื่องสำอางและยาประจำตัวเสมอ และวันเกิดเหตุคอลิดไปหาหมอเพราะเขาปวดหลัง ยาที่หมอสั่งมาคอลิดได้เอาติดกับตัว วันเกิดเหตุยาและเวชภัณฑ์เหล่านี้ก็อยู่ในกระเป๋าของเขาด้วย ทำให้มั่นใจว่าลูกชายไม่ใช่คนร้าย สิ่งที่หวังที่สุดในเวลานี้ ขอให้คอลิดเป็นรายสุดท้าย ที่จะต้องตกเป็นเหยื่อ จากการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่” นางซูรายา กล่าว
เช่นเดียวกับ นายมะหะมะ เซ็นและ วัย 60 ปี บิดาของ นายสูไฮมี เซ็นและ ผู้เสียชีวิตอีกราย กล่าวว่า ถึงขณะนี้ตนยอมรับว่าอยู่ในสภาพ “ทำใจไม่ได้” จากเดิมที่ต้องไปกรีดยางและรับซื้อกระดาษ เพื่อนำไปส่งขายในพื้นที่ จ.ยะลา แต่นับจากวันที่เกิดเหตุ และบุตรชายต้องจากไปอย่างไม่หวนกลับ วันนี้รถกระบะคู่ชีพยังคงจอดสนิทจนฝุ่นเริ่มเกาะ เพราะไม่มีกำลังใจที่จะออกไปทำงาน
คำวิงวอนของ “มะหะมะ” ถึงฝ่ายความมั่นคง มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้น!!!
นั่นคือ..ขอให้บุตรชายของเขาเป็น “ศพสุดท้าย” จากปฏิบัติการที่ “ผิดพลาด” ของเจ้าหน้าที่!!!
“อยากฝากให้เจ้าหน้าที่ที่จะเข้าตรวจค้นจับกุมในพื้นที่ใดก็ตาม ควรที่จะเพิ่มความระมัดระวัง มีการประสานกับผู้นำชุมชน ผู้นำท้องที่เสียก่อน เพื่อลดการสูญเสียบุคคลผู้บริสุทธิ์ที่จะต้องกลายเป็นเหยื่อของความรุนแรงจากทั้งสองฝ่าย นอกจากนั้นอยากเรียกร้องผู้มีอำนาจในบ้านเมืองนี้นำผู้กระทำผิดในครั้งนี้มาลงโทษตามกระบวนการยุติธรรมของบ้านเมือง และอยากให้การสูญเสียของลูกชายในครั้งนี้เป็นการสูญเสียครั้งสุดท้าย” มะหะมะ ระบุ
วันนี้บรรยากาศภายใน ต.พิเทน คงไม่อาจเรียกว่า “ปกติ” ได้เต็มปากเท่าใดนัก เพราะเมื่อมีทหารเข้ามาในพื้นที่ โดยเฉพาะบริเวณบ้านโต๊ะชุด ชาวบ้านต่างหวาดผวา เด็กๆ พากันวิ่งหนีเข้าบ้านด้วยความหวาดกลัว แม้กระทั่งทหารพรานที่เข้ามาซ่อมแซมอาคารบ้านเรือนตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาก็ถูกชาวบ้านขับไล่ เพราะไม่พอใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นและยังรับไม่ได้ ถึงจะเป็นทหารมาจากคนละหน่วยก็ตาม
นายมะนาแซ ดอคอ ผู้ใหญ่บ้าน ม.6 บ้านโต๊ะชุด เล่าว่า บรรยากาศในหมู่บ้านทุกวันนี้ แม้ชาวบ้านสามารถทำงานได้ปกติ แต่ครอบครัวของผู้เสียชีวิตยังเศร้าเสียใจเก็บตัวอยู่ในบ้าน และยังคงรู้สึกไม่ไว้วางใจทุกครั้งที่มีทหารพรานเข้ามาในพื้นที่
“ตอนนี้ทหารพรานอย่าเพิ่งเข้ามาในพื้นที่นี้ก่อนดีที่สุด เพราะชาวบ้านยังเจ็บปวดกับสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อความรู้สึกของชาวบ้านคลายลง ค่อยหาวิธีเข้าพื้นที่ใหม่ เข้าตอนนี้จะยิ่งทำให้ปัญหาบานปลายได้” นายมะนาแซ กล่าว
บาดแผลจากการต้องกลายเป็น “แพะ” ใช่ว่าจะลบเลือนไปได้ง่ายๆ และไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะ 4 ศพที่ บ้านโต๊ะชุด เท่านั้น เรื่องเล่าจากปากต่อปากในหมู่นักศึกษามหาวิทยาลัยในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ หลายรายกล่าวว่า เพื่อนของตนบ้าง ญาติของตนบ้าง ผู้นำศาสนาในหมู่บ้านบ้าง บางคนถูกจับกุมคุมขัง และบางคนก็ถูกวิสามัญ ทว่าต่อมาความจริงปรากฏว่าคนเหล่านี้ไม่มีความผิด แล้วก็กลายเป็นทหารที่จะต้องเข้ามาเยียวยา ซึ่งไม่คุ้มค่ากับความสูญเสีย
“คนใกล้ตัวผม พ่อของเขาเป็นผู้นำศาสนาในหมู่บ้าน แล้วถูกกล่าวหาว่าเป็นโจรและถูกวิสามัญโดยทหาร ตอนที่ออกไปเข้าสวนยาง แล้วทหารให้เหตุผลว่ามีการปะทะกันและในที่เกิดเหตุนั้นพบปืนอยู่ในมือของผู้ตาย ซึ่งลูกของเขายืนยันว่าพ่อของเขาไม่เคยมีอาวุธปืนเลย และไม่เคยใช้ปืนอีกด้วย และชาวบ้านคนอื่นๆ ก็ไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นเช่นกัน แต่หลังจากนั้นทหารก็เข้ามาทำการเยียวยาครอบครัวดังกล่าว”
“เวลาออกข่าว เขาจะออกข่าวว่า เราจับกุมได้ในขณะหลบหนีจากเหตุการณ์ครั้งนั้น คดีความมั่นคงต่างๆ ก็จะตามมา ทำให้พี่ชายเพื่อนต้องติดคุกเกือบเดือน เดินศาลอย่างไม่ยุติธรรม ในที่สุดได้รับการปล่อยตัว ถามว่าเดือนกว่าที่ติดคุก เรียกว่าให้ความยุติธรรมแล้วหรือ? แถมชื่อก็ยังอยู่ในบัญชีดำ เวลาเดินทางผ่านด่านทหารก็ต้องโดนสอบสวนตลอดและต้องเข้าไปฟังทางเขาบรรยาย โดยที่เราถามตัวเองว่า เราผิดอะไร?”
ทั้ง 2 ตัวอย่างข้างต้น เป็นเสียงสะท้อนของสิ่งที่ชาว 3 จังหวัดชายแดนใต้ได้รับ ทำให้ความรู้สึกระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับชาวบ้านมีแต่เลวร้ายลง ซึ่ง ผศ.ภีรกาญจน์ ไค่นุ่นนา อาจารย์คณะวิทยาการสื่อสาร สาขานิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี (มอ.ปัตตานี) ที่อีกบทบาทหนึ่งก็เป็นสื่อมวลชนในพื้นที่ด้วย ให้ความเห็นว่า ด้านหนึ่งต้องยอมรับก่อนว่า “ไม่มีใครที่ประกาศว่าตนเองทำผิด” ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนในโลกก็ตาม ทุกคนย่อมต้องปฏิเสธไว้ก่อนเสมอว่าไม่ได้ทำ
แต่อีกด้านหนึ่ง ในเมื่อฝ่ายรัฐกล่าวหาว่าบุคคลใดเป็นผู้กระทำผิด ก็ต้องเป็นหน้าที่ของฝ่ายรัฐเองที่จะต้อง “พิสูจน์” ให้ได้ว่าบุคคลนั้นกระทำผิดจริง และกระบวนการนั้นต้องทำอย่าง “โปร่งใส” ตรวจสอบได้ด้วย ทว่าในความเป็นจริง หลายครั้งที่มีการควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไปสอบสวน ก็มีกระแสข่าวว่ามีการข่มขู่ให้รับสารภาพบ้าง และเมื่อคดีไปถึงชั้นศาล ศาลก็พิพากษายกฟ้องเพราะหลักฐานไม่มีน้ำหนักเพียงพอ สิ่งเหล่านี้ทำให้ประชาชนในพื้นที่ไม่ไว้ใจการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐ
ที่น่าห่วงกว่านั้น..สิ่งที่เกิดขึ้น อาจยิ่งเสริมความเข้มแข็งให้กับกลุ่มก่อความไม่สงบได้!!!
“การพิสูจน์ว่าใครทำผิดไม่ผิด มันเป็นเรื่องที่หน่วยงานรัฐต้องทำให้เกิดความน่าเชื่อถือ คือที่ผ่านมา จับคนร้ายไปศาลก็ยกฟ้อง หลักฐานอ่อนบ้างอะไรบ้าง พอมันเป็นแบบนี้คนก็ไม่เชื่อว่าคุณจะจับคนร้ายได้จริง หรือคนที่จับไปจะไม่เป็นแพะ หรือมีเรื่องที่รับรู้กันว่าจับไปแล้วมีการกดดันให้รับสารภาพ คนก็เลยไม่เชื่อกระบวนการทำงานของรัฐ มันก็ต้องหาเครื่องมือใหม่ๆ มาทำงานกระบวนการยุติธรรม ให้คนเกิดความเชื่อถือ
คือการยิงผิดตัวครั้งนึง หรือแม้แต่ยิงคนร้ายตายครั้งนึง มันทำให้เกิดแนวร่วมขึ้นอีกเยอะ ดังนั้นมันจะทำยังไงที่จะต้องไม่จับตาย ไม่ยิงคนผิด นี่คือประเด็นที่รัฐต้องคิด คือการต่อสู้ของพวกนี้ไม่ใช่อาชญากรรม แต่เป็นเรื่องอุดมการณ์ คุณจะยิงคนตายเป็นร้อยเป็นพันศพ อุดมการณ์มันก็ยังอยู่ ถ้าคุณไม่แก้ในเชิงโครงสร้างเชิงระบบ คุณก็แก้ปัญหานี้ไม่ได้ และยิ่งถ้าเป็นการยิงผิดตัว มันยิ่งสร้างแรงสะเทือนต่อความไว้วางใจต่อรัฐ แล้วทหารก็จะปฏิบัติการได้ยากขึ้น” ผศ.ภีรกาญจน์ ฝากทิ้งท้าย
เราเชื่อว่าเจ้าหน้าที่รัฐที่ปฏิบัติงานในพื้นที่ ต่างต้องการให้ “วิกฤติไฟใต้” ยุติลงโดยเร็ว แต่เป้าหมายนั้นจะสำเร็จไปไม่ได้เลย หากไม่ได้รับความไว้วางใจจากประชาชนท้องถิ่น ซึ่งการจะได้รับความไว้วางใจ สิ่งสำคัญคือปฏิบัติหน้าที่อยากรอบคอบรัดกุม ทำตามขั้นตอนอย่างโปร่งใสตรงไปตรงมา และลดความผิดพลาดให้น้อยที่สุด
หาไม่แล้ว..หนทาง “สันติสุข” ณ ปลายด้ามขวาน ก็ยังคงอยู่อีกห่างไกล!!!
รอซิดะห์ ปูซู / แก้วกานดา ตันเจริญ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี