อิสรภาพทางการเงิน..กลายเป็นคำยอดฮิตไปแล้ว ดังรายงาน “8 ค่านิยมคนรุ่นใหม่” สำรวจโดย เอ็นไวโรเซล ไทยแลนด์ ที่เปิดเผยเมื่อเดือนธ.ค. 2557 ระบุว่า คนยุคใหม่หวังที่จะ “รวยลัด-รวยเร็ว” กันมากขึ้น เห็นได้จากหนังสือขายดีระยะหลังๆ มักจะเป็นหนังสือสอนการทำธุรกิจและการลงทุน หรืองานมหกรรมนักลงทุนอย่าง Money Expo ที่นับวันผู้เข้าร่วมชมงานมีแต่จะอายุน้อยลงเรื่อยๆ
รวมถึงเรื่องราวคนดังที่ประสบความสำเร็จได้ทั้งที่ไม่ได้จบการศึกษาสูงๆ ไม่ว่าจะเป็น สตีฟ จ็อบส์ ผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิล ซึ่งผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว, บิล เกตส์ มหาเศรษฐีอันดับ 1 ของโลก ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการวินโดว์สและซอฟต์แวร์อื่นๆ ในเครือไมโครซอฟท์ หรือผู้ที่ร่ำรวยตั้งแต่อายุน้อยๆ เช่น อิทธิพัทธ์ กุลพงษ์วณิชย์ เจ้าของธุรกิจสาหร่ายทอดกรอบเถ้าแก่น้อย เป็นต้น คนเหล่านี้กลายเป็น “ไอดอล” ให้ใครต่อใคร โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ๆ อยากทำตาม
ดูเหมือนจะเป็นเรื่องดี..ที่ “วัยรุ่นไทย” ไม่ได้ “ไร้สาระ” อย่างที่ถูกปรามาส แต่อีกด้านก็ “น่าห่วง” ไม่น้อย!!!
เพราะวันนี้หลายคนเริ่มคิดกันไปแล้วว่า “ความร่ำรวย” เป็นสิ่งที่ได้มาอย่างง่ายดาย ไม่ต้อง “ลงทุนลงแรง”!!!
ผศ.ดร.ธนวรรธน์ พลวิชัย รองอธิการบดีฝ่ายวิจัย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (ยูทีซีซี-UTCC) กล่าวในฐานะที่ทำงานร่วมกับหอการค้าไทยมาเป็นเวลา 20 ปี พบเจอนักธุรกิจมาทุกพื้นที่และทุกระดับ ตั้งแต่กิจการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี-SME) ยอดขายต่อเดือนไม่ถึงแสนบาท ไปจนถึงธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่ยอดขายปีละเป็นแสนล้านบาท และพบว่าผู้ที่สามารถ “อยู่รอด” ในวงการนี้ได้มักมีคุณสมบัติร่วมกันบางประการ
นั่นคือ “รู้จริง” ในธุรกิจของตนทุกขั้นตอนของห่วงโซ่ อุปทาน (ซัพพลายเชน-Supply Chain) ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ปลายน้ำ รู้และเข้าใจความต้องการของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงมาตรฐานสากลนานาชาติ, “มีวินัย” ต้องเคร่งครัดในกฎระเบียบ โดยเฉพาะเรื่องของการทำบัญชี, “รอบคอบ” แม้บุคลิกภาพของนักธุรกิจ คือต้องชอบความเสี่ยง มองความเสี่ยงเป็นความท้าทาย แต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จ คือผู้ที่เผชิญความเสี่ยงด้วยเหตุผล มีการเตรียมมาตรการรองรับมาเต็มที่ มิใช่เดินดุ่มๆ ไปด้วยอารมณ์เข้าว่า โดยไม่มีแผนอะไรเลย
อาจารย์ธนวรรธน์อธิบายต่อไปด้วยทฤษฎี “เศรษฐกิจพอเพียง” 3 ประการ ดังนี้ 1.มีเหตุผล เช่น เวลาตัดสินใจทำธุรกิจ จะขยายร้านต้องมีข้อมูลชัดเจน เช่นเรื่องของ “ทำเล” ต้องไม่ใช่ทำเลที่ร้านอื่นๆ ที่มาเปิดแล้วมักเจ๊งบ่อยๆ หรือไม่ใช่ทำเลที่ไม่มีคนเดิน หรือต้องรู้ว่าลูกค้าเป็นใคร คู่แข่งในย่านนั้นเป็นใคร ประกอบธุรกิจอะไรบ้าง เป็นต้น
2.พอประมาณ คนที่ทำธุรกิจล้มเหลว สาเหตุที่พบบ่อยๆ คือลงทุนเกินตัวจนเป็นหนี้มาก ตรงข้ามกับคนที่ประสบความสำเร็จ มักเริ่มต้นทำธุรกิจแบบ “เก็บเล็กผสมน้อย” ค่อยๆ ขยับขยายไปทีละขั้น รวมทั้งเน้นลงทุนด้วยเงินตนเองเป็นหลักมากกว่าที่จะกู้เงินจากแหล่งอื่น เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกเรียกดอกเบี้ยหรือสินทรัพย์ค้ำประกัน
และ 3.มีภูมิคุ้มกัน หรือการเตรียมพร้อมรับความเสี่ยง ต้องมีตลาดหรือกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย มิใช่กระจุกอยู่เพียงกลุ่มเดียว หรือวัตถุดิบควรจะรู้จักผู้ผลิตหลายๆ เจ้า เพื่อจะได้มีแหล่งวัตถุดิบที่ราคาคุ้มค่าไว้สั่งซื้อได้ตามแต่ละสถานการณ์ เป็นต้น
“อย่าคิดว่ารวยทางลัดเป็นเรื่องง่าย ไม่สนับสนุน ของแบบนี้เป็นไปได้ แต่เป็นเปอร์เซ็นต์น้อย ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาส” อาจารย์ธนวรรธน์ กล่าว
เช่นเดียวกับความเห็นของ ตัน ภาสกรนที นักธุรกิจชื่อดัง เจ้าของแบรนด์ชาเขียว “อิชิตัน” ที่เป็นบุคคลต้นแบบของใครหลายคน เน้นย้ำว่าการทำธุรกิจ “ความรู้” สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นความรู้จากตำรา คำบอกเล่าของบุคคลผู้ประสบความสำเร็จ และความรู้นอกตำรา ซึ่งต้องอาศัยการลงแรงลงมือโดยตรงในการทำความเข้าใจ
ที่สำคัญที่สุด..อย่ามัวแต่ “อยู่กับสิ่งเดิมๆ” แต่ต้อง “ออกเดินทาง” เพื่อให้มีประสบการณ์ชีวิตที่หลากหลาย!!!
“ธุรกิจสมัยนี้ทำได้ง่ายมากขึ้น เพราะว่าโลกหมุนเร็ว เรามีสินค้า มีความรู้ เรามีความสามารถ ก็เป็นไปได้ที่ว่าตลาดทั้งโลกอยู่ในมือเราได้ เราสามารถขายของโดยที่ไม่ต้องมีหน้าร้าน มีบริษัท มีสำนักงาน เราขายของในโลกนี้ได้ แต่ก็อย่าเชื่อว่าทั้งหมดมีอยู่แค่นั้น เหรียญมี 2 ด้านเสมอ แต่ต้องยอมรับว่าเด็กรุ่นใหม่เก่ง
ต้องระวังอย่าประมาท ต้องรอบรู้อ่านหนังสือ หาข้อมูลหาประสบการณ์ใส่ตัวให้เยอะๆ อย่าอยู่แต่กับบ้าน อย่าอยู่แต่ที่เดิมๆ ไม่ผิดอะไรที่ทุกคนอยากจะรวย อยากจะมีฐานะที่มั่นคง แต่ก็คงไม่ได้มีความอดทนเหมือนคนสมัยก่อน โลกแคบลงทุกคนเข้าถึงได้ เป็นเศรษฐีได้ แต่ไม่ได้เป็นได้ทุกคน ก็ต้องระวัง” เจ้าของชาเขียวยี่ห้อดัง ให้ความเห็น
อีกหนทางรวยที่ปัจจุบันได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ คือ “เล่นหุ้น” หรือการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ เห็นได้จากเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับผู้ที่เล่นหุ้นจนมีทรัพย์สินหลักสิบหลักร้อยล้านภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี ทำให้หลายคนมองว่าคล้ายกับ “การพนัน” ที่ผู้เล่นสามารถร่ำรวยได้เพียงชั่วข้ามคืนหากมี “ดวง” ที่มากพอ
ประเด็นนี้ สุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการสายงานวิจัยหลักทรัพย์ บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ไม่ใช่การพนันหรือการเสี่ยงโชค ทุกอย่างอยู่บนฐานความรู้ทางวิชาการทั้งสิ้น ดังนั้นผู้ที่จะเข้ามาลงทุน ต้องมีความเข้าใจ ใจเย็นกับผลลัพธ์ที่ได้ และทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป
“หลักๆ เลยการเข้ามาลงทุน จะต้องมีความเข้าใจเรื่องการลงทุน การลงทุนบนความพร้อมของตัวเอง คือต้องรู้ตัวเองว่ามีความพร้อมระดับไหนแล้ว ก็ค่อยๆ เป็นค่อยๆไป เพราะการลงทุนมีความเสี่ยง แต่ถ้าเป็นมือใหม่ก็คงไม่สามารถไปตั้งความหวังที่จะให้ได้ผลตอบแทนโดยเร็วเมื่อเทียบกับคนที่ทำมานานแล้ว อันนี้เป็นเรื่องของประสบการณ์ที่ต้องสะสมไป ความรวยไม่มีทางลัด การลงทุนมันก็เป็นไปตามหลักวิชาการอยู่แล้ว ทุกอย่างต้องมีหลักของมัน” ผู้เชี่ยวชาญด้านตลาดหุ้นรายนี้ ฝากทิ้งท้าย
จากมุมมองของคนทำธุรกิจ รวมถึงนักวิชาการที่คลุกคลีกับนักธุรกิจ คงจะทำให้เห็นภาพแล้วว่า “รวยทางลัด” เป็นความฝันที่ไม่มีอยู่จริง เพราะไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เงินเดือน ประกอบอาชีพอิสระ ทำธุรกิจเอง และแม้กระทั่งการเข้าไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ หากต้องการประสบความสำเร็จ ล้วนต้อง “ทำงานหนัก” ทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาในงานที่จะทำ หรือในกิจการ หรือในหลักทรัพย์ที่จะลงทุนให้ “รู้ลึก-รู้จริง” อีกทั้งยังต้องควบคุมตนเองให้มีนิสัย “รอบคอบ” ไม่ประมาท เพราะชีวิตคนเรา ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไรล้วนแต่ “ไม่มีความแน่นอน” เต็มไปด้วยความเสี่ยงทั้งสิ้น “วันนี้ขาขึ้น-พรุ่งนี้อาจขาลง” การไม่ทำอะไรเกินตัว เมื่อถึงช่วงวิกฤติก็ยังพอประคองตนให้ผ่านพ้นไปได้
อยาก “รวย” ไม่ใช่เรื่องผิด..ขออย่างเดียวอย่า “โลภ” จนลืมตัว!!!
หาไม่แล้ว..อาจกลายเป็น “แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ” ที่บทสรุปคือ “ตาย-เจ๊ง” เท่านั้น!!!
ปรัชญาวดี สินทวี
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี