โลกเราไม่เหมือนเดิม.....
ภายใต้ความสวยงามของท้องทะเลไทยทั้งฝั่งอ่าวไทย และอันดามัน ที่เหนือผิวน้ำดู “หินสวย น้ำใส” แต่ลึกลงไปในความเป็นจริงกลับตกอยู่ในสภาพ “วิกฤติ” ส่งผลกระทบต่อสัตว์ทะเลสำคัญต่างๆ โดยเฉพาะ “กลุ่มสัตว์ทะเลหายาก”
ในระยะไม่กี่ปีมานี้ภาพการเกยตื้นของ “วาฬ-โลมา-พะยูน-เต่าทะเล” ปรากฏให้เห็นมากขึ้นและต่อเนื่อง สาเหตุสำคัญมาจากทะเลซึ่งเป็นบ้านของสัตว์เหล่านี้กำลังทรุดโทรมผุพังลงอย่างน่าเป็นห่วง ทั้งจากฝีมือของธรรมชาติ และ “น้ำมือมนุษย์”
“ก้องเกียรติ กิตติวัฒนาวงศ์” หัวหน้ากลุ่มสัตว์ทะเลหายาก ศูนย์วิจัยและพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอันดามัน กรมทรัพยากรธรรมทางทะเลและชายฝั่ง เปิดเผยว่า สัตว์ทะเลหายากในน่านน้ำไทย ประกอบด้วย กลุ่มสัตว์ทะเล 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.เต่าทะเล(Sea turtles) 2.พะยูน(Dugong) และ 3.โลมาและปลาวาฬ(Whales and Dolphins) ทั้งหมดถูกจัดเป็นสัตว์ป่าสงวนและคุ้มครองตามพระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2535 ว่าด้วยการห้ามล่า ห้ามค้า ห้ามครอบครอง ห้ามเพาะพันธุ์ โดยมีผลครอบคลุมไปถึงไข่ ซาก ตลอดจนชิ้นส่วนต่างๆด้วย
นอกจากนี้ยังถูกจัดให้อยู่ในบัญชีรายชื่อของอนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งพันธุ์พืชป่าและสัตว์ป่าที่ใกล้สูญพันธ์ หรือ “ไซเตส” ด้วย โดยเต่าทะเลทุกชนิด พะยูน และโลมาอิรวดี ที่อยู่ในภาวะใกล้ “สูญพันธุ์”
“ก้องเกียรติ” บอกว่า ช่วง 12 ปีที่ผ่านมา หรือตั้งแต่ปี 2546-2557 พบสัตว์ทะเลหายากขึ้นมา “เกยตื้น” รวม 2,201 ตัว แยกเป็น เต่าทะเล 1,209 ตัว คิดเป็น 55% โลมาและปลาวาฬ 851 ตัว คิดเป็น 39% และพะยูน 141 ตัว คิดเป็น 6% ในแต่ละปีมีแนวโน้มของการเกยตื้นเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งค่าเฉลี่ยการเกยตื้นต่อปีของเต่าทะเลอยู่ที่ 101 ตัวต่อปี , โลมาและปลาวาฬ 71 ตัวต่อปี และพะยูน 12 ตัวต่อปี
ขณะที่ข้อมูลของ “กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง”(ทช.) ระบุว่า สาเหตุของการเกยตื้นตายส่วนใหญ่ พบว่า มีอาการบาดเจ็บหรือตายจากกิจกรรม “ประมง” โดยเฉพาะเครื่องมือประมงชายฝั่ง ได้แก่ “อวนลอย” ตลอดจนกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการประมง ขณะที่ในกลุ่มโลมาและวาฬยังพบสาเหตุจากการ “ป่วย” ตามธรรมชาติ โดยพบการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจด้วย
นอกจากนี้ “ขยะ” ก็เป็นสาเหตุหนึ่ง ซึ่งมีแนวโน้มของปัญหาเพิ่มขึ้นทุกปี ค่าเฉลี่ยของเต่าทะเลและโลมาที่ “กลืนขยะ” ที่ถูกทิ้งลงในทะเล และเข้าไปสะสมอยู่ในระบบทางเดินอาหารมีร้อยละ 2-3 แต่หากนับจำนวนของการเกยตื้นที่มีขยะทะเลเกี่ยวพันภายนอก โดยเฉพาะขยะจำพวกอวนซึ่งพบมากในเต่าทะเลจะมีเปอร์เซ็นต์การเกยตื้นจากสาเหตุขยะสูงถึง 20-40% โดยส่วนใหญ่ถ้า “ไม่ตาย ก็พิการ” จนกลับไปใช้ชีวิตในทะเลไม่ได้
“เวลานี้คาดว่าทั่วประเทศไทยมี พะยูน 210-250 ตัว อยู่ที่ จ.ตรัง มากที่สุดที่ 135-150 ตัว ปัญหาการเกยตื้นของ พะยูน ที่น่าเป็นห่วง คือ ใน จ.ตรัง ถ้าเขาเกยตื้นตาย 12-13 ตัวต่อปี ประมาณการณ์ได้เลยว่า 20-30 ปีข้างหน้า พะยูนจะหมดไปจากประเทศไทย” ก้องเกียรติ กล่าว
อีกปัญหาหนึ่งที่หลายฝ่ายกังวล และพยายามหาทางแก้ไข คือ การลดจำนวนลงอย่างมีนัยสำคัญของ “โลมาอิรวดี” ในทะเลสาบสงขลาที่มีแนวโน้มว่าอาจสูญพันธ์ หากไม่มีการอนุรักษ์อย่างเป็นรูปธรรม โดยโลมาอิรวดีมีถิ่นที่อยู่อาศัยในโลกนี้เพียง 5 แห่ง คือ ทะเลสาบชิลิก้า ประเทศอินเดีย , แม่น้ำโขง , แม่น้ำมหาคาม ประเทศอินโดนีเซีย , ปากแม่น้ำบางปะกง และ “ทะเลสาบสงขลา” ซึ่งจากการสำรวจปี 2556 พบว่า โลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลาเหลือเพียง 15 ตัว หากมีอัตราการตาย 5 ตัวต่อปี ในเวลาไม่เกิน 5-10 ปี โลมาชนิดนี้จะ “สูญพันธุ์”
“เมื่อ 50 ปีที่แล้วเราเชื่อว่าในทะเลสาบสงขลามีโลมาอิรวดีเกิน 100 ตัว แต่ปัจจุบันเหลือไม่ถึง 20 ตัว ซึ่งภัยคุกคามมาจากการติดอวนโดยบังเอิญ ซึ่งเราก็พยายามประชาสัมพันธ์ให้มีการลดใช้อวนเหล่านี้ แต่ก็มีปัญหาเรื่องอาหารของโลมาลดลงอีก รวมถึงความตื้นเขินของทะเลสาบ ยังไม่นับเรื่องของมลพิษที่อาจจะมีการสะสมอยู่ในทะเลสาบด้วย” ก้องเกียรติ กล่าว
เขา อธิบายต่อว่า การทำประมงในทะเลสาบสงขลามีการขยายตัวมากขึ้น และปรับปรุงเครื่องมือจับสัตว์น้ำให้มีประสิทธิภาพ เนื่องจากทะเลสาบสงขลาครอบคลุม 3 จังหวัด ทำให้มีจำนวนชาวประมงเข้าไป “แย่งชิง” จับสัตว์น้ำในทะเลสาบสงขลาจำนวนมาก ซึ่งเครื่องมือประมงบางส่วนเป็นแบบ “ทำลายล้าง” ส่งผลทำให้ทะเลสาบสงขลามีน้ำตื้นเขิน น้ำไม่สะอาด แหล่งพักอาศัย แหล่งเพาะพันธุ์สัตว์น้ำและห่วงโซ่อาหารถูกทำลาย ซึ่งผลจากการกระทำดังกล่าวทำให้สัตว์น้ำที่สำคัญจำนวนหนึ่งถูกบุกรุก และปริมาณสัตว์น้ำลงลดอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ “คุณภาพน้ำ” ในทะเลสาบสงขลาเสื่อมโทรมลง เพราะมีการปล่อยน้ำเสียของโรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากที่อยู่โดยรอบ ประกอบกับมี “ชุมชนแออัด” หลายแห่งที่อยู่ติดกับทะเลสาบ ซึ่งทิ้งขยะมูลฝอยและน้ำเสียลงในทะเลสาบจำนวนมาก ก่อให้เกิดมลพิษและส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมหาศาล กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประชากรของโลมาอิรวดีในทะเลสาบสงขลามีความเสี่ยงที่จะสูญพันธ์
“ก้องเกียรติ” กล่าวอีกว่า “ท่องเที่ยว” ถือเป็นอีกหนึ่ง “ทางอ้อม” ที่ส่งผลให้สัตว์ทะเลหายากเสี่ยงต่อการเกยตื้นและสูญพันธุ์” เพราะการท่องเที่ยวนำมาซึ่ง “ขยะ” ในทะเลที่เพิ่มขึ้น ดังนั้นต้องมีการรณรงค์ให้สร้างขยะให้น้อยลง โดย 1.ใช้เท่าที่จำเป็น 2.เลือกวัสดุที่จะทำให้เกิดขยะ หรือมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด เลือกใช้ขยะที่รีไซเคิล หรือย่อยสลายได้ง่าย และ 3.ไม่ทิ้งขยะลงทะเล ถ้าทำได้ตามนี้ก็สามารถช่วย “ยื้อชีวิต” ให้สัตว์ทะเลหายากอยู่กับเราไปได้นานขึ้น
“การอนุรักษ์สัตว์ทะเลหายากความจริงไม่ต้องไปมองไกล แค่ช่วยกันดูแลทะเลซึ่งเป็นบ้านของเขาให้ปลอดภัย สะอาด ปลอดมลพิษ ก็จะเป็นประโยชน์ต่อสัตว์ทะเลหายากแล้ว” ก้องเกียรติ กล่าวทิ้งท้าย
“สัตว์ทะเลหายาก” อยู่ในภาวะวิกฤติ ซึ่งสาเหตุหลักๆมาจากการแย่งชิงทรัพยากรทางทะเลที่รุนแรงขึ้นทุกวัน รวมถึงการไม่ตระหนักต่อการอนุรักษ์ ถ้าวันนี้ผู้คนยัง “เมินเฉย” ต่อภาวะสุ่มเสี่ยงของพวกมัน อีกไม่นาน “วาฬ-โลมา-พะยูน-เต่าทะเล” คงสูญพันธุ์ เหลือทิ้งไว้เพียงรูปถ่าย และชื่อให้เรียกขาน!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี