“คุณยังจำเบอร์โทรศัพท์คนที่คุณรู้จักได้หรือไม่?”
“คุณยังบวกลบคูณหารเลขง่ายๆ ได้ไหม?”
“คุณลืมวิธีการถามทางและวางแผนเส้นทางไปแล้วหรือยัง?”
เชื่อเหลือเกินว่าคนที่มีอายุมากสักหน่อยและชอบ “รำลึกความหลัง” คงคุ้นเคยกับทักษะเหล่านี้เป็นอย่างดี จนกระทั่งการมาถึงของ “ยุคไอที” ทำให้ทักษะดังกล่าวหายไปเกือบหมด แม้ด้านหนึ่งจะมีคำอธิบายว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะทักษะใดที่ไม่ค่อยได้ใช้นานๆ เข้าก็จะหลงลืมกันไป แต่อีกด้านหนึ่ง เชื่อหรือไม่ว่าเทคโนโลยีที่ทันสมัยนี้ ได้ก่อให้เกิดผลกระทบทางลบกับชีวิตมนุษย์เรามากกว่าที่คิด
“ภาษาไทย” ยุค “แชทนิยม” !!!
หากใครเป็นนักท่องโลกออนไลน์ หัวข้อหนึ่งที่มักจะมีการบ่นกันเสมอคือ “เด็กยุคนี้เขียนภาษาไทยผิดๆ ถูกๆ” แม้กระทั่งคำง่ายๆ ก็ยังเขียนไม่ได้ ซึ่งก็มีผู้อธิบายว่า อิทธิพลของการพูดคุยผ่านโปรแกรม“แชท” (Chat) ทำให้มีการดัดแปลงภาษาให้สั้นลงบ้าง หรือดัดแปลงให้มีรูปแบบถ้อยคำน่ารักๆ บ้าง ทว่าสิ่งที่น่าเป็นห่วง คือขาแชทจำนวนไม่น้อย ติดนิสัยการพิมพ์ภาษาไทยผิดๆ ถูกๆ เหล่านี้ มาใช้ในชีวิตจริงทั้งการเรียนและการทำงานด้วย
จักรกฤต โยมพยอม (ครูทอม คำไทย) ติวเตอร์ภาษาไทยชื่อดัง ให้ความเห็นในเรื่องของการศึกษาของเด็กไทยในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทว่า เป็นห่วงการใช้ภาษาของเด็กที่ใช้คำผิดๆ ถูกๆ และยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ควบคุมได้ยาก จึงอยากฝากให้ครูภาษาไทยทุกระดับตั้งแต่อนุบาลจนถึงมหาวิทยาลัย ปลูกฝังภาษาไทยให้เด็กๆ อย่างเข้มงวดและรู้จักใช้ประโยชน์ของเทคโนโลยีมาช่วยเสริมแรงในการสอนให้ทันยุคสมัย
“เด็กมีปัญหาที่ผันวรรณยุกต์ไม่ได้ เขียนไม่ถูก เด็กเห็นคำที่ผิดแล้วคิดว่าถูก เทคโนโลยีก็มีผล เพราะเมื่อเด็กเห็นเยอะๆ ก็เข้าใจว่าคำที่ผิดคือสิ่งที่ถูก การควบคุมก็เป็นไปได้ยาก แต่ก็จะช่วยได้ก็คือการใช้เทคโนโลยีให้มีประโยชน์ มีการใช้ในการฝึกภาษา ซึ่งตอนนี้ก็ยังเห็นได้ไม่มากนัก ครูภาษาไทย ครูในโรงเรียน หรือแม้แต่ในมหาวิทยาลัย ต้องเป็นฐานรากหลักให้เด็กๆ เพราะว่าครูภาษาไทยก็น่าจะเป็นคนที่มีความรู้ภาษาไทยได้มากที่สุดถ้าเทียบกับผู้ปกครองหรือพ่อแม่ ปลูกฝังให้เด็กให้เข้าใจภาษา รู้จักใช้ แล้วก็สื่อมวลชนด้วยที่จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษา”
ติวเตอร์ภาษาไทยชื่อดังรายนี้ ให้ความเห็น และเชื่อว่าคงไม่ยากเกินไปที่ครูภาษาไทยยุคนี้จะใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการสอน เพราะทุกวันนี้ครูจำนวนไม่น้อยตามโลกทัน ใช้สื่อออนไลน์ (Social Media) เป็นกันอยู่แล้ว
“สังคมก้มหน้า” ทำคนเย็นชาต่อกัน!!!
อีกวิกฤติที่ถูกพูดถึงกันมาได้หลายปีแล้ว คือเรื่องของ “สังคมก้มหน้า” หรือการที่คนยุคไอทีขาดทักษะในการรับรู้และเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่น เนื่องจากไม่ค่อยพูดจากันโดยตรง แต่สื่อสารผ่านสื่อออนไลน์แทน ซึ่ง วัลลภ ปิยะมโนธรรม
ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา ที่ปรึกษาโครงการศูนย์ให้คำปรึกษาและพัฒนาศักยภาพมนุษย์ มหาวิทยาลัศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) ที่ออกมาเตือนถึงปัญหานี้หลายต่อหลายครั้ง และแสดงความเป็นห่วงว่า ขนาดเทคโนโลยียุคก้มหน้ายังเป็นไปได้ขนาดนี้ แล้วในยุคต่อไปที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้ากว่าปัจจุบัน มนุษย์ในยุคนั้นจะเป็นอย่างไร?
“พฤติกรรมพวกนี้อันตรายมาก เมื่อก่อนวันหยุดยาวคนก็จะกลับต่างจังหวัดกลับบ้าน แต่เดี๋ยวนี้แค่เปิดโทรศัพท์ก็เห็นหน้ากันแล้ว อีกหน่อยคงไม่ต้องไปเยี่ยมกัน คนก็ขาดความสัมพันธ์ ต่อไปหนังสือเรียนคงไม่จำเป็น โรงเรียนไม่ต้องไป นั่งอยู่บ้านแล้วเรียนผ่านเทคโนโลยี แม้แต่มีประชุมก็ไม่ต้องเดินทางไปไหนนั่งอยู่ที่หน้าจอ คนก็จะเห็นแต่ของปลอมทั้งหมด แม้แต่สั่งอาหารยังเป็นเดลิเวอรี่ สั่งเข้ามาก็ไม่สด เรื่องอากาศเราก็จะไม่ได้ เราไม่ไปทะเล ไม่ออกไปเที่ยว แล้วต่อไปคนก็จะกลายเป็นมนุษย์ไร้อารมณ์ อยู่แต่กับคอมพิวเตอร์กับหน้าจอ” อาจารย์วัลลภ กล่าว
ทักษะ “เอาตัวรอด” หดหาย!!!
จากเรื่องที่เกริ่นนำไปข้างต้น กรณีคนยุคใหม่พึ่งพาเทคโนโลยีจนทักษะหลายอย่างหายไป เรื่องนี้ต้องบอกว่าไม่ใช่สิ่งที่ดีนัก อาจารย์วัลลภให้ความเห็นว่า มนุษย์สมัยนี้ต้องการความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น จนกลายเป็น “การเสพติด” ที่เมื่อขาดไปแล้วอาจอยู่ไม่ได้ เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาท มนุษย์ก็เริ่มเกียจคร้าน จนทำให้ความสามารถหลายอย่างหายไป และสุ่มเสี่ยงที่จะ “เอาชีวิตไม่รอด” หากต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่มีเทคโนโลยีคอยช่วยเหลือ
“มีทักษะที่หายไปเยอะเลย ที่สำคัญเลยก็จะเป็นสัญชาตญาณในการอยู่รอด คือตอนนี้ทุกคนอยู่ดี แต่ถ้าขาดเทคโนโลยีก็เหมือนจะอยู่ไม่ได้ คนไข้ผมบางคนออกจากบ้านแล้วลืมโทรศัพท์ถึงกับต้องวนรถกลับไปเอา เสียเวลาหลายชั่วโมง ตอนนี้ทุกอย่างดีหมด แต่ว่าจะอยู่ไม่ได้ถ้าขาด ยิ่งตอนนี้แผนที่ ทีวี.หรืออะไรก็ตามมันติดอยู่ที่เลนส์แว่น อยู่ที่นาฬิกาข้อมือ ทิศทางไม่ต้องเรียนรู้ ไปเที่ยวต่างประเทศก็ไม่จำเป็นต้องรู้ทิศทาง คนจะดูแต่จีพีเอส
เมื่อก่อนเขาเรียกสังคมก้มหน้า แต่ตอนนี้มันกลายเป็นสังคมหูหนวกตาบอด เพราะคนจะปิดหูฟัง ตาอยู่ที่แว่น คนพวกนี้ก็จะขาดความรู้สึก ขาดสติ เขาจะไม่รู้สึกอะไรเลย จะเห็นแต่สิ่งแปลกปลอมที่เข้ามา ตรงนี้คนจะอยู่ไม่รอด วันๆ คนก็มองแต่โทรศัพท์ มองแต่นาฬิกา หมกมุ่นอยู่กับตัวเอง ที่มีข่าวรถชน รถทับ พวกนี้ก็อยู่กับโทรศัพท์ เราตื่นเช้ามาก็มั่วแต่กดนู่นนี่นั่น” นักจิตวิทยาชื่อดังรายนี้ แสดงความเป็นห่วง
อยาก “เก่งกาจ” แต่ไม่อยาก “ฝึกฝน”!!!
ประเด็นสุดท้ายที่น่าห่วงที่สุด เห็นจะหนีไม่พ้นกระแส “รวยลัด-เก่งไว-สำเร็จเร็ว” ที่เป็นค่านิยมของคนยุคนี้ ที่ไม่ใช่แค่การผันตัวมาทำธุรกิจหรือเล่นหุ้นเท่านั้น แต่ยังลามไปถึงความเกียจคร้านที่จะค้นคว้าด้วยตนเอง ทั้งที่ยุคนี้อินเตอร์เนตทำให้การหาความรู้นั้นง่ายกว่าในอดีตมาก ทว่าคนยุคใหม่กลับเลือกที่จะ “ขอคำตอบสำเร็จรูป” โดยไม่ต้องสนใจ “วิธีคิด” เห็นได้จากเว็บไซต์ดังอย่าง Pantip.com ที่สมาชิกหลายคนมักจะ “เอือม” กับบรรดาเด็กรุ่นหลังๆ ที่มักเข้ามาตั้งกระทู้เพื่อ “ถามการบ้าน” แบบไม่ต้องการทราบ “ที่มาที่ไป” ของคำตอบอยู่เสมอ
ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิจัยชำนาญการสถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ (สวส.) กล่าวว่า เทคโนโลยีทำให้พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป จากเดิมที่คนยุคก่อนชอบที่จะ “คิด-วิเคราะห์-ลงมือทำ” ด้วยตนเอง แต่คนยุคนี้เคยชินกับการใช้เทคโนโลยี มีโปรแกรมช่วยเหลือมากมาย รวมถึงสื่อออนไลน์ที่เมื่อถามอะไรไปแล้วมีผู้รู้เข้ามาตอบให้ทันที
ส่งผลให้คนรุ่นใหม่ไม่อยากที่จะคิดและทำอะไรด้วยตนเอง แต่ใช้วิธี “ลอกเลียน” ประสบการณ์ของผู้อื่นแล้วนำมาทำตาม ผลที่ได้คือ “รู้” ว่าคำตอบคืออะไร แต่ “ไม่เข้าใจ” กระบวนการหาคำตอบ ซึ่งหากเจอปัญหาที่ซับซ้อนขึ้นเพราะบริบทของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ก็อาจจะแก้ปัญหาไม่ได้ เพราะประยุกต์ใช้ความรู้นั้นไม่เป็น
“แต่ก่อนเราพูดกันว่าผิดเป็นครู แต่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครอยากผิด เขาอยากลองถูกแล้วทำได้เลย มนุษย์เดินตามแบบคนอื่นเพื่อตัวเองจะประสบความสำเร็จอย่างเขา แต่ประสบการณ์จริงๆ มันไม่สามารถเลียนแบบกันได้ มนุษย์ยุคนี้ก็จะมักง่ายกับความสำเร็จ อดทนรอความสำเร็จไม่ได้ จะเอาอะไรต้องได้เร็วๆ สังคมมันเน้นถามง่ายตอบง่าย ยกตัวอย่างแต่ก่อนวิธีการทางวิทยาศาสตร์มีขั้นตอนตั้งเยอะ ก็เลยทำให้คนแต่ก่อนมีการเรียนรู้จริงๆ เพราะต้องผ่านกระบวนการที่ยาวนาน แต่เดี๋ยวนี้แค่คลิกเดียวก็ได้คำตอบแล้ว มันกลายเป็นสังคมแบบออนไลน์
สมัยผมการที่จะไปซื้อสมุดเฉลยการบ้านก็ถือเป็นความผิดใหญ่หลวงแล้ว เพราะเราไปลอกคำตอบมา แต่ตอนนี้เด็กๆ ถูกตัดขาดจากกระบวนการเรียนรู้ด้วยตัวเองหมดเลย มีอะไรสงสัยก็ถามอินเตอร์เนต เมื่อเขาได้คำตอบก็ไม่ได้ตรวจสอบว่าถูกหรือเปล่า ก็ก๊อบไปส่ง เด็กสมัยนี้คิดเองไม่เป็น จริงๆ อยากจะเสนอว่าถ้าอยากให้เด็กฉลาด ก็ให้เขาใช้คอมพ์น้อยๆ แล้วอ่านหนังสือเยอะๆ” อาจารย์ธาม ฝากทิ้งท้าย
แม้ในความเป็นจริงเทคโนโลยีไม่อาจหยุดนิ่งได้ ทุกอย่างต้องพัฒนาให้ก้าวหน้าต่อไป แต่มนุษย์สามารถเลือกที่จะใช้เทคโนโลยีให้เป็นประโยชน์ต่อตนเองและคนรอบข้าง ทั้งนี้ต้องไม่ลืมว่าเทคโนโลยีเป็นเหมือนดาบ 2 คมที่มีทั้งคุณและโทษ ซึ่งหากใช้โดยขาดการยั้งคิดก็อาจส่งผลร้ายได้เช่นกัน
ยิ่งเทคโนโลยีเจริญมากขึ้นเท่าใด..มนุษย์ซึ่งเป็นผู้ใช้เทคโนโลยียิ่งต้องมีปัญญารู้เท่าทันมากขึ้นเท่านั้น!!!
ปรัชญาวดี สินทวี
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี