ความไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ.....
หลายคนโชคดีทั้งชีวิตเต็มที่แค่ไอจาม แต่หลายคนโชคชะตาเล่นกลโดนโรคร้ายรุมเร้า โดยเฉพาะผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่อวัยวะสำคัญ เช่น หัวใจ ปอด ตับ ไต “ล้มเหลว” สูญเสียการทำงานอย่างถาวร ไม่สามารถรักษาให้กลับมาทำงานได้อีก แต่ผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังมีโอกาส “รอด” หากได้รับการ.....
“ปลูกถ่ายอวัยวะ”!!!
ที่จะช่วยให้ผู้ป่วยที่ “หมดหวัง” กลับมามีชีวิตใหม่ได้ ซึ่งปัจจัยสำคัญที่สุดในการรักษาด้วยวิธีการดังกล่าว คือ การได้มาซึ่ง “อวัยวะบริจาค” จากผู้เสียชีวิต ทว่า.....
ท่ามกลาง “โอกาส” กลับมี “วิกฤติ”!!!
ด้วย “ข้อจำกัด” ของความเข้าใจเกี่ยวกับการบริจาคอวัยวะ รวมถึง “ความเชื่อ” ผิดๆ ส่งผลให้การปลูกถ่ายอวัยวะเพื่อคืนชีวิตปกติให้กับผู้ป่วยต้องประสบปัญหาเพราะ “สต๊อกอวัยวะ” เข้าขั้น “โคม่า”!!!
ณ ปัจจุบัน มีผู้ป่วยที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากการเจ็บป่วย และรอคอยอวัยวะอยู่จำนวนมาก โดยข้อมูลของ “ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ” สภากาชาดไทย ระบุว่า ปี 2556 มีผู้ป่วยได้รับการปลูกถ่ายอวัยวะจากผู้บริจาคที่เสียชีวิตเพียงร้อยละ 9.2 ของผู้รออวัยวะทั้งหมด และมีผู้ป่วยเสียชีวิตระหว่างรอปลูกถ่ายอวัยวะร้อยละ 3 ของผู้รอทั้งหมด
นับตั้งแต่มีการก่อตั้งศูนย์ฯ จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา หรือกว่า 20 ปีที่ผ่านมา มียอดผู้แสดงความจำนงบริจาคอวัยวะขณะมีชีวิต 757,717 ราย แต่ยอดรวมผู้บริจาคอวัยวะที่เสียชีวิตแล้วมีเพียง 1,600 รายเท่านั้น แต่มีผู้ป่วย “รอ” การปลูกถ่ายกว่า 4,480 ราย โดยกว่าร้อยละ 90 หรือประมาณ 4,235 ราย รอการปลูกถ่าย “ไต” ซึ่งรอได้ 5-7 ปี
รองลงมา คือ หัวใจ , ปอด และตับ เป็นต้น
นพ.วิศิษฏ์ ฐิตวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย กล่าวว่า การปลูกถ่ายอวัยวะ คือ การผ่าตัดนำอวัยวะใหม่เปลี่ยนแทนอวัยวะเดิมที่เสื่อมสภาพ จนสามารถทำหน้าที่ต่อไปได้ เป็นการช่วยชีวิตผู้ป่วยในระยะสุดท้ายให้กลับมาชีวิตใหม่ ประเทศไทยทำได้ในกลุ่ม “หัวใจ-ปอด-ตับ-ไต” ในอนาคตมีแผนจะพัฒนาเพิ่มในกลุ่ม “ตับอ่อน-ลำไส้เล็ก” ซึ่งประชาชนทั่วไปสามารถบริจาคอวัยวะได้แทบจะทุกส่วนของร่างกาย แม้กระทั่ง “มดลูก”
นพ.วิศิษฏ์ กล่าวต่อว่า ก่อนที่จะนำอวัยวะมาจากผู้บริจาคได้นั้น แพทย์ต้องวินิจฉัยก่อนว่าผู้บริจาคนั้นๆ “เสียชีวิต” แล้ว ซึ่งในวงการแพทย์การเสียชีวิตมี 2 แบบ คือ “หัวใจหยุดเต้น” และ “สมองตาย” ซึ่งเป็นภาวะที่แกนสมองถูกทำลายจนสูญเสียการทำงานโดยสิ้นเชิงและถาวร แม้จะกระตุ้นด้วยวิธีใดๆ ก็ไม่ตอบสนอง ไม่มีการไอจาม ไม่สามารถหายใจได้เอง แม้จะใช้เครื่องช่วยหายใจหรือยากระตุ้นใดๆ ก็เยียวยาให้ “ฟื้น” คืนชีวิตไม่ได้ จึงถือได้ว่าผู้นั้นเสียชีวิตแล้ว และจะเข้าสู่กระบวนการบริจาคต่อไป
“ส่วนใหญ่มักเกิดปัญหาเมื่อผู้บริจาคอวัยวะเสียชีวิตแล้ว ญาติไม่ยินยอม เราไม่มีสิทธิ์ไปเอามาได้เพราะศพถือเป็นสมบัติของทายาท การบริจาคเป็นอันยกเลิก โมฆะ จนทำให้เกิดการขาดแคลนอวัยวะที่จะนำไปปลูกถ่ายให้ผู้ป่วยระยะสุดท้ายอยู่มาก ทั้งๆที่ผู้บริจาค 1 ราย สามารถนำอวัยวะไปปลูกถ่ายให้ผู้ป่วยได้อย่างน้อย 7 ราย ให้มีชีวิตรอด มีชีวิตใหม่ใกล้เคียงคนปกติ” ผู้อำนวยการศูนย์รับบริจาคอวัยวะ กล่าว
นอกจากนี้ประชาชนบางกลุ่มยังเข้าใจผิดคิดว่าอวัยวะจากการบริจาค จะถูก “กั๊ก” ไว้ช่วยเฉพาะคนบางกลุ่มเท่านั้น ซึ่งขอยืนยันว่าศูนย์รับบริจาคอวัยวะจะ “จัดสรร” อวัยวะให้ผู้ป่วยหนักที่มีความจำเป็นก่อนเป็นลำดับๆ
“อวัยวะที่ได้รับบริจาคเป็นสิ่งที่มีค่ายิ่ง ศูนย์รับบริจาคอวัยวะจึงจัดสรรให้ผู้รออวัยวะที่ลงทะเบียนไว้กับศูนย์รับบริจาคอวัยวะ ตามเจตนารมณ์ของผู้บริจาคและทายาท เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด ด้วยความเป็นธรรมตามหลักการของสภากาชาดไทย คือ เสมอภาค มนุษยธรรมถูกหลักวิชาการ โปร่งใส ไม่มีการซื้อขายอวัยวะเด็ดขาด จึงขอเชิญให้บริจาคอวัยวะกันมากๆ โดยติดต่อได้ที่ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย สายด่วน 1666 หรือ 0-2256-4045-6” นพ.วิศิษฏ์ กล่าว
นพ.วิศิษฏ์ กล่าวด้วยว่า อีกหนึ่งปัญหา คือ เรื่องของ “ความเชื่อ” ประชาชนยังไม่มีความรู้และไม่เข้าใจเรื่องการบริจาค รวมถึงการปลูกถ่ายอวัยวะ เพราะมีความเชื่อผิดๆ เช่น เชื่อว่าบริจาคอวัยวะแล้วทำให้ชาติหน้าเกิดมาจะมีอวัยวะไม่ครบ หรือกลัวการว่าการบริจาคอวัยวะเป็นการ “สาปแช่ง” ตัวเอง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงการบริจาคอวัยวะถือเป็น “ทานชั้นสูง” ในทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า “อุปบารมีทาน”
เรื่องนี้มีคำยืนยืนจากพระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี หรือท่าน “ว.วชิรเมธี” ที่เคยเทศน์สั่งสอนไว้ว่า การบริจาคอวัยวะไม่นับเป็นการแช่งตัวเอง ตรงกันข้ามกลับเป็นการสร้างบารมีให้ตัวเอง พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า การที่ทรงมี “พระเนตรดั่งตาเนื้อทราย” เพราะในพระชาติได้ทรงควักพระเนตรบริจาคเป็นมหาทาน ทำให้พระองค์ทรงได้อานิสงส์เป็นดวงพระเนตรที่งามกระจ่างดั่งเนื้อทราย.....
นี่คือตัวอย่างยืนยันชัดเจนว่าการบริจาคอวัยวะไม่ใช่การแช่งตัวเองให้แย่ลง แต่เป็นการทำให้ตัวเองได้พบสิ่งที่ประเสริฐเลิศล้ำที่สุด!!!
ส่วนที่ญาติอาวรณ์สงสาร ไม่ต้องการให้ร่างผู้ตายต้องเจ็บอีก ท่าน “ว.วชิรเมธี” ชี้ให้เห็นว่าการบริจาคอวัยวะเป็นกิจอันเป็นมหากุศลยิ่ง ในพระพุทธศาสนามีระบุไว้ว่าผู้ที่จะได้ชื่อว่าเป็น “พระโพธิสัตว์” อย่างสมบูรณ์ต้องเคยบำเพ็ญทานบารมีที่สำคัญมาก่อนอย่างน้อย “3 ขั้น” คือ 1.การบริจาควัตถุข้าวของ 2.บริจาคอวัยวะ และ 3.บริจาคได้แม้กระทั่งชีวิตของตนเพื่อช่วยชีวิตผู้อื่น ซึ่งเป็นทานบารมี “ขั้นสูงสุด”
บางคนกังวลว่าการบริจาคอวัยวะจะทำให้ “ศพไม่สวย” นั้น ท่าน “ว.วชิรเมธี” ชี้ว่า นี่เป็นความกังวลที่ “ไร้สาระ” เพราะเมื่อล่วงลับ “ดับขันธ์” สาระของร่างกายก็ไม่เหลืออยู่อีกต่อไป มีแต่จะถูกนำไปเผาหรือนำไปฝัง ลองคิดดูง่ายๆว่าระหว่างปล่อยให้อวัยวะบางส่วนที่ยังใช้การได้เป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ยังอยู่ กับปล่อยให้ถูกเผาหรือฝังอย่างไร้ประโยชน์ สิ่งไหนจะดีกว่ากัน การบริจาคอวัยวะจึงเป็นการ “ถือเอาสาระจากสิ่งที่ไร้สาระ” ดังนั้น.....
“ความดีที่ไม่สิ้นสุด คือ การอุทิศอวัยวะเมื่อยามสิ้นสูญ”!!!
บุษยมาศ ซองรัมย์
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี