ในที่สุด พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) ก็ปิดคดี “บึ้มป่วนเมือง” ที่เกิดขึ้นในเทศบาลนครยะลาได้เรียบร้อย ด้วยการสั่งย้าย พล.ต.ต.ทนงศักดิ์ วังสุภา ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด(ผบก.ภ.จว.) ยะลา ฐานบกพร่องต่อหน้าที่ เนื่องจากภารกิจการรักษาความปลอดภัยในเขตเทศบาลนครยะลาเป็นหน้าที่โดยตรงของตำรวจ
“ทหาร” มีหน้าที่หลักในการป้องกันพื้นที่รอบนอก เช่น ลาดตระเวน ตั้งจุดสกัดในถนนสายหลัก-สายรอง และ “ด่านลอย” ในพื้นที่ที่คาดว่าคนร้ายอาจใช้เป็นเส้นทางหลบเลี่ยง จุดตรวจบนถนนสายหลัก
เช่นเดียวกับรถที่ประกอบเป็น “คาร์บอมบ์” ที่ห้างเซ็นทรัล เฟสติวัล เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อเดือนที่ผ่านมา ที่คนร้ายหลีกเลี่ยงจุดตรวจบนเส้นทางหลัก ใช้ถนนในหมู่บ้าน จนไปก่อวินาศกรรมได้สำเร็จ
ทั้งๆที่โดยข้อเท็จจริงระเบิดป่วนเมือง 30 กว่าจุดที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 14-16 พฤษภาคม ที่ผ่านมา “คนร้าย” และ “ระเบิด” เล็ดลอดจากนอกพื้นที่เข้ามาก่อเหตุ ต่างฝ่าวงล้อมของด่านตรวจ “รอบนอก” ที่มีทหารรับผิดชอบทั้งสิ้น
แต่เมื่อตำรวจเป็นผู้รับผิดชอบพื้นที่ “ชั้นใน” ย่อมหนีคำว่า “รับผิดชอบ” ไม่พ้น เพราะอย่างน้อยการหาคนมาเป็น “แพะ” เพื่อคลี่คลายความตึงเครียด และเพื่อให้ประชาชนเห็นว่ารัฐบาล “เอาจริง” อาจทำให้เกิดความรู้สึกที่ดีกับประชาชน และอาจเป็นการ “เชือดไก่ให้ลิงดู” เพื่อขู่ให้ตำรวจที่เหลือ “ปลดเกียร์ว่าง” หันมามุ่งมั่นรักษาความสงบเรียบร้อย
สิ่งที่น่าสังเกตและชวนติดตามหลังสิ้นเสียงระเบิดระลอกแรก พล.ต.อ.สมยศ แถลงทันทีว่าระเบิดป่วนยะลา เป็นเรื่อง “การเมือง” ขณะที่กองทัพกระเด้งรับลูกว่าอาจเป็นการ “ดิสเครดิต” รัฐบาล คล้ายกับเหตุคาร์บอมบ์ที่เกาะสมุย ที่ทหาร-ตำรวจ “ฟันธง” ว่าเป็นฝีมือ “ขั้วอำนาจเก่า”
สุดท้ายแล้ว “คาร์บอมบ์” ที่เกาะสมุย ชุดสืบสวนจับได้เพียงกลุ่มพ่อค้ารถมือสอง และ “แนวร่วม” ที่มีคดีก่อการร้ายในพื้นที่ จ.ยะลา และปัตตานี รวม 12 คน “ไร้เงา” กลุ่มอำนาจเก่า และนักการเมือง
เช่นเดียวกับระเบิดป่วนเมืองที่เขตเทศบาลนครยะลา ที่ไม่น่าจะใช่เรื่องการเมือง หรือค้ามนุษย์ แต่สายข่าวด้านความมั่นคงชี้ว่าเป็นเรื่องของ “นักรบมูจาฮีดีน” หรือนักรบปัตตานีที่ต้องการก่อเหตุร้าย เพื่อตอบโต้เจ้าหน้าที่รัฐที่ “วิสามัญ” ผู้บริสุทธิ์ 4 ศพ ที่ “ทุ่งยางแดง” จ.ปัตตานี ทั้งที่บางคนเป็นแค่ “ช่างปูน”
มูลเหตุข้างต้นน่าจะเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการ “ถอดสลัก” ระเบิด 3 วัน 30 จุด 50 ลูก ในเขตเทศบาลนครยะลา ซึ่งเป็นการ “เอาคืน” และแสดงศักยภาพของกลุ่มนักรบมูจาฮีดีนที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายการพูดคุย “สันติภาพ” ของขบวนการบีอาร์เอ็นกับตัวแทนของรัฐบาลไทยที่กำลังจะมีขึ้น
สิ่งที่น่าติดตามในครั้งนี้ คือ การที่คนร้ายใช้วิธีการประกอบระเบิดแบบใหม่ ซึ่งเป็นระเบิดขนาดเล็ก เพื่อใช้ “ก่อกวน”
ในเขตเทศบาลนครยะลา โดยมีการประกอบระเบิดแบบ “ต่างที่-ต่างเวลา” เพื่อให้ระเบิดในสถานที่ต่างๆ ในช่วงเวลาต่างกันระหว่างวันที่ 14-16 พฤษภาคม เป็นเวลา 3 วัน
วิธีนี้นอกจากสร้างความ “หวาดผวา” ให้กับผู้คนในเขตเทศบาลนครยะลา เพราะไม่รู้ว่าระเบิดยังถูกวางอยู่ที่ใดบ้าง และจะระเบิดขึ้นอีกในเวลาใด ในขณะที่ตำรวจ ทหาร และฝ่ายปกครองก็ทำงาน “ยุ่งยาก” และ “หนักใจ” ในการปฏิบัติหน้าที่ เพราะต้องใช้วิธี“สุ่มตรวจ” แบบเหวี่ยงแหเพราะไม่รู้ว่าระเบิดยังเหลืออยู่ที่ใดบ้าง และจะ “บึ้ม” ขึ้นมาเมื่อไร.....ถือเป็นการพัฒนาในเรื่อง “ยุทธวิธี” อีกแบบหนึ่ง และเป็นครั้งแรกที่คนร้ายใช้ยุทธวิธีนี้ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ในการวางระเบิดครั้งนี้คนร้ายยังใช้วิธี “ภายในประสานภายนอก” โดยการวางระเบิด “ภายใน” เขตเทศบาลเป็นหน้าที่
ของ “แนวร่วม” รุ่นใหม่ที่เดินทางเข้ามาอาศัยอยู่กับแนวร่วมเดิมในพื้นที่ ตั้งแต่วันที่ 12 พฤษภาคม ก่อนมีการวางระเบิด 2 วัน ส่วน “ภายนอก” มีการวางระเบิดลูกใหญ่ในหลายจุด เพื่อต้องการ “ล้ม” เสาไฟฟ้า ต้องการให้ “ไฟดับ” ทั้งเมือง เพื่อเปิดโอกาสให้ “คอมมานโด” ซุ่มโจมตีฐานปฏิบัติการเจ้าหน้าที่ และสถานที่ราชการ
“โชคดี”…..คนร้ายปฏิบัติการไม่สำเร็จ เพราะไม่สามารถทำให้ไฟดับทั้งเมืองได้ ความสูญเสียครั้งใหญ่จึงไม่เกิดขึ้น!!!
เหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่ “การข่าว” ไม่ดีอย่างที่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผบ.ทบ.ให้สัมภาษณ์ เพราะโดยข้อเท็จจริงการข่าว “ภาคประชาชน” พบเห็นความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติในเขตเทศบาลนครยะลามาก่อนที่จะมีการวางระเบิดถึง 3 วัน และ “ส่งผ่าน” ข่าวสารไปให้เจ้าหน้าที่แล้ว แต่ถูก “เมินเฉย”
นอกเหนือจากนั้น เขตเทศบาลนครยะลาถูก “บอมบ์” ครั้งใหญ่ เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2556 ห่างหายจากการถูกก่อ “วินาศกรรม” มาเป็นเวลาเกือบ 1 ปีเต็ม ทุกฝ่ายจึงเชื่อว่า “หัวเมือง” แห่งนี้ ปลอดภัยจากการก่อการร้ายแล้ว ทุกอย่างจึง “หย่อนยาน” และขาดความสนใจ ซึ่งจะเรียกว่า “ประมาท” ก็ไม่ผิด
ความประมาทครั้งนี้ส่งผลให้เกิดความ “สูญเสีย” อย่างมหาศาล แม้จะไม่มี “ผู้บริสุทธิ์” สังเวยชีวิต แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นเรื่องเล็กๆ เพราะเศรษฐกิจที่ล้มละลาย ความเชื่อมั่นที่ปลิวหายจากหัวเมืองแห่งนี้ร้ายแรงยิ่ง เพราะ
นี่คือการ…..
“ตายทั้งเป็น”!!!
หากทุกฝ่ายยังไม่สรุปบทเรียนที่เกิดขึ้นที่เมืองยะลา อีกไม่ช้าสถานการณ์เดียวกันอาจเกิดขึ้นที่หัวเมือง “ปัตตานี-นราธิวาส” และหัวเมืองที่เป็นดั่ง “ไข่แดง” อย่างที่ “หาดใหญ่” ซึ่งหากทุกฝ่ายประมาท หรือ ปล่อย “เกียร์ว่าง” จนมี “ช่องโหว่”
ระเบิดป่วนเมืองอย่างที่เกิดขึ้นที่ “นครยะลา” ย่อมเกิดขึ้นได้กับทุกหัวเมืองที่เป็นเมืองเศรษฐกิจ สิ่งที่อาจเกิดขึ้นจะนำมาซึ่งความล้มละลายทางเศรษฐกิจ และ “สะท้อน” ให้เห็นความ “ล้มเหลว” ของการแก้ปัญหาไฟใต้ ซึ่งที่สุดท้ายแล้วบ่งชี้ให้เห็นว่า “น้ำยา” ของรัฐบาลทหารก็ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลพลเรือนที่ผ่านๆ มา
ในอดีตกองทัพปฏิเสธที่จะไม่รับผิดชอบความล้มเหลวในการดับไฟใต้ได้ โดยอ้างว่าเป็นเรื่อง นโยบายของรัฐบาล แต่วันนี้คนในกองทัพ คือ คนในรัฐบาลผู้ขับเคลื่อนนโยบายดับไฟใต้ ที่มีอำนาจเด็ดขาดเพียงผู้เดียว แล้วจะปฏิเสธ
ความล้มเหลวให้กับใคร???
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี