แนวคิดการใช้ “สวนบำบัด” กำลังได้รับความสนใจอย่างกว้างขวาง นั่นเพราะการใช้ประโยชน์จากธรรมชาติควบคู่กับการแพทย์ปัจจุบัน สามารถช่วยฟื้นฟูผู้ป่วยได้หลากหลายกลุ่ม ทั้งผู้ป่วยทางจิต เด็กพิการ กระทั่งคนทั่วไปที่มี “ความเครียดสูง”
อีกทั้งการประยุกต์ใช้ธรรมชาติเพื่อสร้างประโยชน์ในแต่ละรูปแบบสามารถทำได้จริงและไม่ยุ่งยากเกินกว่าที่ใครๆ จะทำได้ ดั่งเช่นบางตอนของ “เวทีถอดบทเรียนองค์ความรู้ด้านสวนบำบัด” ที่มูลนิธิเพื่อเด็กพิการ จัดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ ซึ่งผู้มีประสบการณ์การทำสวนบำบัดมาแลกเปลี่ยนประสบการณ์อย่างน่าสนใจ
“นพ.ประพจน์ เภตรากาศ” ประธานกรรมการมูลนิธิเพื่อเด็กพิการและผู้ผลักดันโครงการ “สวนบำบัด” ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) อธิบายถึงประโยชน์ที่เกิดขึ้นจริงของการใช้สวนบำบัด หรือ “ธรรมชาติบำบัด” ว่าในต่างประเทศใช้สวนบำบัดกับผู้ป่วยที่มีอาการซึมเศร้า ทหารผ่านศึก และเด็กพิการ มานานแล้ว เพราะนอกจาก “สีเขียว” ของธรรมชาติจะสร้างความผ่อนคลายแล้ว
การใช้ “สี กลิ่น ผิวสัมผัส” ของธรรมชาติที่มีความแตกต่างกัน ยังสร้างจุดดึงดูดให้กลุ่มเด็กที่บกพร่องทางสมองหรือร่างกาย นำไปสู่การพัฒนาอื่นๆ ได้ เช่น การเรียนรู้เรื่องผิวสัมผัสจากใบไม้ การนับจำนวนตัวเลข การขยี้ใบไม้เพื่อรับกลิ่น ขณะที่กลุ่มผู้สูงอายุการได้อยู่ในสวนย่อมทำให้ความเครียดลดลง สามารถทำกิจกรรมที่สอดคล้องกับกายภาพได้นานขึ้น
ขณะที่ “กรรณิกา ไชยชนะ” กลุ่มงานสังคมสงเคราะห์ สถาบันจิตเวชศาสตร์สมเด็จเจ้าพระยา เล่าว่า พื้นที่เล็กที่ดัดแปลงเป็นสวนผักบริเวณสถาบันเพื่อทำการเกษตรสร้างผลดีให้แก่ผู้ป่วยที่มีอาการทางจิต โดยกิจกรรมสวนบำบัดจะเปิดกว้างให้ผู้เข้ารับการบำบัดได้เลือกว่าอยากปลูกพืชชนิดใด มีการดูแลอย่างไร เพื่อนำไปสู่การจำหน่ายช่องทางใด หลังจากนั้นผู้ป่วยจะดำเนินการเองทั้งหมดโดยมีพี่เลี้ยงดูแลอย่างใกล้ชิด ส่งเสริมให้มีความต่อเนื่อง เมื่อผลสำเร็จดี ผู้ป่วยที่เคยท้อแท้
จะมีกำลังใจกลับไปดำเนินชีวิตภายนอกได้
“เริ่มแรกเราจะให้ผู้ป่วยที่เข้ารับการบำบัดเลือกก่อนว่าจะปลูกอะไร ที่เอาไปขายได้จริง เห็นผลเร็ว จากนั้นเขาจะเริ่มกระบวนการปลูก ทั้งเตรียมดิน รดน้ำ ไปจนถึงการวางขายในตลาด กระบวนการเหล่านี้ช่วยให้ผู้ป่วยได้บำบัดตัวเอง ได้พูดคุยกับคนรอบข้าง มีปฏิสัมพันธ์กับสังคมปกติ เป็นการฝึกทักษะทางสังคมโดยมีการเกษตรเป็นเครื่องมือ” กรรณิกา กล่าว
เธอบอกด้วยว่าเหตุที่นำ “สวนบำบัด” มาบำบัดทางจิตเพราะผู้ป่วยบางรายมีลักษะก้าวร้าว บ้างก็ซึมเศร้าไม่สามารถใช้ชีวิตกับสังคมภายนอกได้ การรักษาด้วยวิธีการแพทย์ที่เหมาะสมพร้อมไปกับการฝึกทักษะทางสังคมทำให้ผู้ป่วยกลับไปใช้ชีวิตตามปกติได้เร็วขึ้น หรือเวลากลับไปเยี่ยมบ้านพวกเขาจะเอาผักที่ปลูกกลับไปด้วย บางคนเอากลับไปขาย สร้างความภูมิใจกับตัวเขาเอง และคนในครอบครัว.....
แปลงปลูกผักเล็กๆ จึงเป็นทั้งความหวัง และห้องเรียนที่สอนการดำเนินชีวิตกับผู้ป่วย!!!
ส่วน “รวิสรา อิสสรากุล” นักจิตวิทยาและนักกิจกรรมบำบัดบ้านเด็กคามิลเลียน กล่าวว่า ใช้กิจกรรมสวนบำบัดกับกลุ่มเด็กออทิสติกมา 1 ปี ซึ่งได้เห็นพัฒนาการของเด็กว่ามีความกระตือรือร้นที่จะออกไปเล่นข้างนอกมากขึ้น จากเดิมที่ค่อนข้างเก็บตัว ขณะที่ด้านร่างกายเมื่อมาออกแรง ได้ลงมือทำสวน ใช้มือ ใช้ขา การพรวนดิน การทรงตัวและหยิบจอบได้สร้างความแข็งแรงให้กับเด็ก แต่สวนบำบัดเพื่อเด็กจำเป็นต้องออกแบบให้เหมาะสม เช่น ทางเดินที่ต้องให้รถเข็นผ่านได้ ไม่วางวัตถุให้ต่ำหรือสูงเกินไป การคำนึงถึงวัตถุที่จะสร้างอันตรายกับเด็ก การใช้อุปกรณ์ขนาดเล็กที่ให้เด็กทำได้จริง
การนำหลักธรรมชาติมาประยุกต์ทำ “สวนบำบัด” จึงเป็นการเปิดพื้นที่เรียนรู้ สร้างทักษะให้แก่คนแต่ละกลุ่มที่เห็นผลได้จริง
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี