ย่างเข้าเดือนหก ถ้า “ฝน” แค่ตกพรำๆ.....
ชาวนาหรือเกษตรกรคง “ระกำ” เพราะ “น้ำ” ไม่พอ.....
ปีนี้โอกาสเสี่ยงต่อการมีน้ำไม่พอต่อการทำนา รวมถึงเพาะปลูกพืชอื่นๆค่อนข้างสูงจาก “ปัจจัยลบ” อย่างน้อยๆถึง 2 เด้ง.....เด้งแรกปริมาณน้ำใน “เขื่อน” มีจำกัด เด้งที่ 2 ปริมาณฝนน่าจะมีน้อยและเกิดภาวะ “ทิ้งช่วง” ทำให้การบริหารจัดการน้ำในฤดูเพาะปลูกนี้ถูกจับตามองอีกครั้ง
ก่อนถึงฤดูเพาะปลูก 6 เดือน คือ ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2557-เมษายน 2588 เป็นช่วงที่ทุกฝ่ายกังวลต่อสถานการณ์ความแห้งแล้ง เพราะปริมาณกักเก็บน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่มีน้อย จนต้องขอให้เกษตรกรโดยเฉพาะในเขตลุ่มน้ำเจ้าพระยางดทำนาปรัง และแม้ขณะนี้จะฝนบ้างแล้ว แต่ปริมาณน้ำในเขื่อนยังไม่น่าไว้วางใจ เพราะปริมาณน้ำฝนที่จะเข้ามาช่วยอาจไม่ได้มากอย่างที่คาดหวัง
กรมอุตุนิยมวิทยา คาดการณ์ว่า “ฤดูฝน” ของประเทศไทยปีนี้เริ่มต้นช้ากว่าปกติ คือ ราวสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนพฤษภาคม และไปสิ้นสุดช่วงกลางเดือนตุลาคม โดยประมาณครึ่งแรกของเดือนพฤษภาคม ซึ่งอยู่ในช่วงเปลี่ยนจากฤดูร้อนเข้าสู่ฤดูฝนนั้น ประเทศไทยตอนบนจะมีฝนฟ้าคะนองบางวัน จนถึงปลายเดือนมิถุนายน มรสุมตะวันตกเฉียงใต้จะพัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทยและอ่าวไทย จะมีกำลังค่อนข้างแรงเป็นระยะๆ กับมีร่องมรสุมพาดผ่านบริเวณประเทศไทยตอนบนเป็นระยะๆ ทำให้ประเทศไทยตอนบนมีฝนตกชุกและต่อเนื่องเพิ่มขึ้น
จากนั้นช่วงปลายเดือนมิถุนายน ถึงปลายเดือนกรกฎาคม มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามันและประเทศไทย จะมีกำลังอ่อนลงและไม่ต่อเนื่อง และร่องมรสุมที่พาดผ่านประเทศไทยตอนบนจะเลื่อนขึ้นไปพาดผ่านบริเวณตอนใต้ของประเทศจีน ทำให้ประเทศไทยมีฝนลดลง อาจก่อให้เกิดการ “ขาดแคลนน้ำ” ด้านการเกษตรในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ “แล้งซ้ำซาก” นอกเขตชลประทาน
นั่นหมายความว่าปีนี้ “ฟ้าฝน” อาจไม่เป็นใจ!!!
ขณะที่ปริมาณน้ำในเขื่อนใหญ่ๆอาจไม่เพียงพอ.....
ศูนย์ประมวลวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ กรมชลประทาน รายงานสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั่วประเทศ ณ วันที่ 14 พฤษภาคม ที่ผ่านมา พบว่า มีปริมาณน้ำรวมกัน 35,440 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) หรือร้อยละ 50 ของความจุอ่างฯขนาดใหญ่รวมกันทั้งหมด มีปริมาณน้ำใช้การได้จริงรวมกัน 11,937 ล้าน ลบ.ม.
สถานการณ์น้ำในเขื่อนใหญ่หลายแห่ง อาทิ เขื่อนภูมิพล จ.ตาก มีปริมาณน้ำ 4,940 ล้าน ลบ.ม.หรือร้อยละ 37 ของความจุอ่างฯ , เขื่อนสิริกิติ์ จ.อุตรดิตถ์ มีปริมาณน้ำ 4,462 ล้าน ลบ.ม.หรือคิดเป็นร้อยละ 47 , เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน จ.พิษณุโลก มีปริมาณน้ำ 222 ล้าน ลบ.ม.หรือร้อยละ 24 , เขื่อนลำตะคอง จ.นครราชสีมา มีปริมาณน้ำ 99 ล้าน ลบ.ม.หรือร้อยละ 32 , เขื่อนสิรินธร จ.อุบลราชธานี มีปริมาณน้ำ 895 ล้าน ลบ.ม.หรือร้อยละ 46 , เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จ.ลพบุรี มีปริมาณน้ำ 191 ล้าน ลบ.ม.หรือร้อยละ 20 และเขื่อนขุนด่านปราการชล จ.นครนายก มีปริมาณน้ำ 33 ล้าน ลบ.ม. หรือร้อยละ 15 เป็นต้น
เกือบทั้งหมดอยู่ในเกณฑ์น้อย!!!
แต่ “กรมชลประทาน” ยังมั่นใจว่าจะ “ส่งน้ำ” ให้ถึงทุกแปลงเพาะปลูก…..
“สุเทพ น้อยไพโรจน์” รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า กรมชลประทานกำหนดฤดูเพาะปลูกพืชฤดูฝน โดยเฉพาะ “ข้าวนาปี” ไว้ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม-31 ตุลาคม .ค.-31 ต.ค. ซึ่งกรมฯส่งน้ำเพื่อใช้ในการเพาะปลูกข้าวนาปีใน “ลุ่มน้ำเจ้าพระยา” เป็นพื้นที่แรก ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม เป็นต้นมา เนื่องจากเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ เกิด “อุทกภัย” เป็นประจำช่วงเดือนกันยายน-ตุลาคม จึงต้องเร่งส่งน้ำเพื่อให้ชาวนาในพื้นที่นี้ใช้เพาะปลูกก่อน จะได้เก็บเกี่ยวข้าว “หนีน้ำ” ทัน
นอกจากนี้ กรมฯยังมีโครงการนำร่องส่งน้ำในพื้นที่ลุ่มต่ำมากๆ เช่น พื้นที่ลุ่มต่ำของโครงการส่งน้ำและรักษาเขื่อนนเรศวร จ.พิษณุโลก และโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษายมน่าน ครอบคลุมพื้นที่ 3.9 แสนไร่ ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกน้ำท่วมเป็นประจำและไม่มีคันกันน้ำปิดล้อม ซึ่งเราส่งน้ำไปตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน ที่ผ่านมา ส่วนพื้นที่อื่นๆจะเริ่มส่งน้ำให้ตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็น “ฤดูเพาะปลูกปกติ” ของชาวนาไทย
“สถานการณ์น้ำโดยทั่วไปในเขื่อนใหญ่เวลานี้ถือว่ามีปริมาณน้อย และจำกัด กรมฯมีน้ำจากเขื่อนให้ชาวนาในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาใช้ได้ประมาณ 50 วัน คือ ถึงสิ้นเดือนมิถุนายน ถ้าใช้ตามแผนที่กรมฯกำหนด และฝนตกลงมาตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาคาดการณ์ไว้ คิดว่าไม่มีปัญหาขาดแคลนน้ำเพื่อเพาะปลูกแน่นอน” รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าว
รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวอีกว่า ในภาวะสุ่มเสี่ยง “แล้งน้ำ” กรมฯมีความกังวลว่าเนื่องจากฤดูแล้งที่ผ่านมากรมฯไม่ได้ส่งน้ำให้ จนทำให้บางพื้นที่เกิดความแห้งแล้ง และการส่งน้ำเข้าไปในระยะหลังจากนี้อาจล่าช้าชาวนาอาจรอไม่ไหวจนแย่งชิงน้ำกินน้ำใช้กันได้ จึงอยากฝากไปถึงชาวนาว่าถ้าพื้นที่ใดเดือดร้อนต้องการใช้น้ำจริงๆ และปริมาณน้ำที่มียังต่ำอยู่ ไม่ทั่วถึง ขอให้แจ้งมาทางกรมฯจะได้ส่ง “เครื่องสูบน้ำ” ไปช่วย รวมทั้งประสานกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เพื่อผลิตฝนหลวงลงไปช่วยในพื้นที่ที่จำเป็นด้วย
“กรมฯจะถูกส่งน้ำไปถึงทุกแปลงเพาะปลูก แม้บางพื้นที่น้ำอาจไปถึงช้าบ้าง แต่รับประกันว่าชาวนาและเกษตรกรจะมีน้ำใช้เพื่อเพาะปลูกแน่นอน และกรมฯจะกระจายน้ำครบทุกพื้นที่ภายใน 2 เดือนหลังจากนี้ จึงขอฝากชาวนาและเกษตรกรอย่าเพิ่งรีบเปิดศึกแย่งชิงน้ำ” รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าว
ด้าน “ระวี รุ่งเรือง” นายกสมาคมเครือข่ายชาวนาไทย มองว่า แผนจัดการน้ำฤดูกาลเพาะปลูกแต่ละปีช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในเขตชลประทานได้ระดับหนึ่ง แต่ “ระบบส่งน้ำ” ไปไร่นายังไม่เพียงพอ เช่น ชาวนาในภาคกลางมีข้อเรียกร้องมาว่าต้องการให้ทำ “คลองส่งน้ำ” ควบคู่ไปกับถนนที่สูงจะสามารถบังคับน้ำเข้าไร่นา อย่างไรก็ดีช่วงนี้ชาวนาไถหว่านไปก่อน เพราะเข้าฤดูฝน “น้ำ” น่าจะพอ
เมื่อ “ฤดูเพาะปลูก” เวียนมาถึงมักมีข้อกังวลตามมาด้วยเกือบทุกปี นั่นคือจะมี “น้ำ” ทำนาหรือไม่ ทั้งที่ปัจจุบัน วิทยาการด้านการเกษตรก้าวล้ำไปไกล แต่สุดท้ายชาวนาไทยก็ยังต้องรอลุ้น “ฝนฟ้า” อยู่ดี!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี