ความเสมอภาคระหว่างเพศ..หัวข้อดังกล่าวได้รับการบรรจุลงในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยมาตั้งแต่ฉบับ 2540 และ 2550 รวมถึงฉบับที่ “แม่น้ำ 5 สาย” กำลังร่างอยู่ในขณะนี้ ซึ่งให้ความสำคัญกับการไม่เลือกปฏิบัติด้วยความเป็นเพศที่แตกต่างกัน ชี้ให้เห็นว่าประเทศไทยให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากพอสมควร สอดคล้องกับการสำรวจของ “เวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัม” (World Economic Forum-WEF) ประจำปี 2557 (ค.ศ.2014) ที่แม้ว่าคะแนนโดยรวมจะยังไม่สูงนัก เพราะอยู่ในอันดับที่ 61 ของโลก จาก 142 ประเทศ
แต่หากนับเฉพาะหัวข้อโอกาสทางการศึกษาและความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน พบว่าสตรีไทยมีโอกาสได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กรต่างๆ เฉลี่ย 5.6 จาก 7 คะแนน (หัวข้อ Ability of women to rise to positions of enterprise leadership) ซึ่งถือว่าสูงมากชาติหนึ่งของโลก นอกจากนี้อัตราส่วนอื่นๆ ทั้งการจ้างงาน การศึกษาในระดับสูง และการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัย ทั้ง 2 เพศถือว่าใกล้เคียงกัน
อย่างไรก็ตาม..ก็ต้องยอมรับว่าประเทศไทยยังมีปัญหาที่รอการแก้ไขอีกไม่น้อย การนำเสนอรายงานผลการศึกษา “แผนพัฒนาศักยภาพสตรีเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างยั่งยืน” จัดทำโดยคณะทำงานพิจารณาศึกษาแผนพัฒนาศักยภาพสตรีเพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างยั่งยืน ในคณะอนุกรรมาธิการสตรี สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อ 20 พ.ค. 2558 รวบรวมตัวเลขที่น่าสนใจไว้หลายประการ
เช่น ความรุนแรงต่อเด็กและสตรีในครอบครัว โดยอ้างอิงข้อมูลจาก ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อป้องกันการกระทำความรุนแรงในครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) เก็บสถิติช่วงปี 2551-2557 พบว่าแต่ละปีมีตัวเลขเพิ่มสูงขึ้น
ไล่ตั้งแต่ปี 2551 มี 11 ราย, ปี 2552 มี 52 ราย (เพิ่มขึ้น 4.7 เท่า), ปี 2553 มี 144 ราย (เพิ่มขึ้น 2.7 เท่า), ปี 2554 มี 168 ราย (เพิ่มขึ้น 1.2 เท่า), ปี 2555 มี 175 ราย (เพิ่มขึ้น 1 เท่า), ปี 2556 มี 229 ราย (เพิ่มขึ้น 1.3 เท่า) และปี 2557 มี 130 ราย (ลดลง 0.57 เท่า) ซึ่งแม้บางปีจะลดลง แต่ตัวเลขโดยรวมถือว่ายังสูงอยู่
ยังไม่นับอีกหลายกรณีที่ไม่เป็นข่าว เพราะไม่มีการร้องทุกข์หรือแจ้งความให้เป็นคดี!!!
หรือปัญหา แม่วัยใส อ้างอิงข้อมูลจาก สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ กระทรวงสาธารณสุข เก็บสถิติตั้งแต่ปี 2548-2555 พบว่าจำนวนหญิงวัย 15-19 ปีที่ตั้งครรภ์มีจำนวนสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยปี 2548 อยู่ที่ 113,048 คน, ปี 2549 อยู่ที่ 112,509 คน, ปี 2550 อยู่ที่ 116,086 คน, ปี 2551 อยู่ที่ 118,921 คน, ปี 2552 อยู่ที่ 119,828 คน, ปี 2553 อยู่ที่ 120,115 คน, ปี 2554 อยู่ที่ 129,321 คนและปี 2555 อยู่ที่ 129,451 คน
น.ส.จินางค์กูร โรจนนันต์ รักษาการในตำแหน่งที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผนงาน สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า ข่าวตามหน้าสื่อต่างๆ ส่วนใหญ่มักจะเกิดความรุนแรงในสตรีมากกว่าบุรุษ ดังนั้น เราจึงได้พัฒนาในเรื่องของความเท่าเทียมกันระหว่างเพศ
และจากสถิติต่างๆ ล้วนแล้วแต่สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาด้านอนามัยการเจริญพันธุ์ในสังคมไทย อันมีความซับซ้อนและมีอิทธิพลต่อสุภาพหญิงตลอดช่วงชีวิต ซึ่งควรได้รับความสร้างเสริมและคุ้มครองอย่างสอดคล้องและเหมาะสม อันเป็นไปตามหลักการตามอนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรีในทุกรูปแบบ
นอกจากปัญหาความรุนแรงในครอบครัว และปัญหาท้องไม่พร้อม-แม่วัยใสแล้ว ด้านการทำงานที่แม้ตัวชี้วัดข้างต้นจาก WEF จะระบุว่าสตรีไทยมีโอกาสก้าวหน้าในหน้าที่การงานค่อนข้างมาก แต่เมื่อเจาะลึกลงในรายละเอียดเป็นรายภาค พบว่าสตรีไทยในภาคงานบริหารราชการแผ่นดินมีจำนวนน้อยที่สุด เพียงร้อยละ 33 ของแรงงานสตรีทั้งหมด ซึ่งสอดคล้องกับการเก็บข้อมูลของ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ระหว่างปี 2551-2557
พบว่าสัดส่วนผู้บริหารท้องถิ่น เพศชายยังมากกว่าเพศหญิงค่อนข้างมาก เช่น ตำแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายก อบจ.) สัดส่วนชายกับหญิง ปี 2551 อยู่ที่ร้อยละ 92 กับร้อยละ 8, ปี 2552-2554 อยู่ที่ร้อยละ 91 กับร้อยละ 9, ปี 2555-2556 อยู่ที่ร้อยละ 89 กับร้อยละ 11 และปี 2557 อยู่ที่ร้อยละ 87 กับร้อยละ 13
ตำแหน่ง สมาชิกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (สจ. หรือ ส.อบจ.) สัดส่วนชายกับหญิง ปี 2551 อยู่ที่ร้อยละ 88 กับร้อยละ 12, ปี 2552 อยู่ที่ร้อยละ 89 กับร้อยละ 11, ปี 2553-2554 อยู่ที่ร้อยละ 88 กับร้อยละ 12, ปี 2555 อยู่ที่ร้อยละ 89 กับร้อยละ 11 และปี 2556-2557 อยู่ที่ร้อยละ 88 กับร้อยละ 12
ตำแหน่ง นายกเทศบาล สัดส่วนชายกับหญิง ปี 2551 อยู่ที่ร้อยละ 94 กับร้อยละ 6 , ปี 2552 อยู่ที่ร้อยละ 92 กับร้อยละ 8, ปี 2553 อยู่ที่ร้อยละ 96 กับร้อยละ 4, ปี 2554 อยู่ที่ร้อยละ 93 กับร้อยละ 7, ปี 2555 อยู่ที่ร้อยละ 83 กับร้อยละ 17, ปี 2556 อยู่ที่ร้อยละ 94 กับร้อยละ 6 และปี 2557 อยู่ที่ร้อยละ 88 กับร้อยละ 6
ตำแหน่ง สมาชิกสภาเทศบาล (สท.) สัดส่วนชายกับหญิง ปี 2551-2552 อยู่ที่ร้อยละ 86 กับร้อยละ 14, ปี 2553 อยู่ที่ร้อยละ 87 กับร้อยละ 13, ปี 2554 อยู่ที่ร้อยละ 89 กับร้อยละ 11, ปี 2555 อยู่ที่ร้อยละ 90 กับร้อยละ 10 , ปี 2556 อยู่ที่ร้อยละ 84 กับร้อยละ 16 และปี 2557 อยู่ที่ร้อยละ 83 กับร้อยละ 17
ตำแหน่ง นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (นายก อบต.) สัดส่วนชายกับหญิง ปี 2551-2553 อยู่ที่ร้อยละ 95 กับร้อยละ 5, ปี 2554-2555 อยู่ที่ร้อยละ 94 กับร้อยละ 6 และปี 2556-2557 อยู่ที่ร้อยละ 93 กับร้อยละ 7 และตำแหน่ง สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (ส.อบต.) สัดส่วนชายกับหญิง ปี 2551 อยู่ที่ร้อยละ 83 กับร้อยละ 17, ปี 2552 อยู่ที่ร้อยละ 87 กับร้อยละ 13, ปี 2553 อยู่ที่ร้อยละ 83 กับร้อยละ 17, ปี 2554 อยู่ที่ร้อยละ 93 กับร้อยละ 7, ปี 2555 อยู่ที่ร้อยละ 94 กับร้อยละ 6 และปี 2556-2557 อยู่ที่ร้อยละ 93 กับร้อยละ 7
เห็นได้ชัดว่า..ในแวดวงการเมือง ผู้ชายยังมีบทบาทมากกว่าผู้หญิงอยู่มาก!!!
ดร.สุธาดา เมฆรุ่งเรืองกุล อนุกรรมาธิการกิจการสตรีและคณะทำงานแผนพัฒนาศักยภาพสตรี เพื่อเข้าสู่ประชาคมอาเซียนอย่างยั่งยืน กล่าวว่า ขณะที่การเข้าถึงบริการสุขอนามัยและการศึกษาทั้งหญิงและชายมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน แต่ระดับการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจและความเข้มแข็งทางการเมือง ผู้หญิงไทยยังมีสัดส่วนที่น้อยกว่าผู้ชายค่อนข้างมาก
“การที่เราจะพัฒนาศักยภาพสตรีเพื่อเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียนอย่างยั่งยืนได้นั้น จึงได้ร่างแผน 5 ยุทธศาสตร์ขึ้น ได้แก่ 1.การพัฒนาศักยภาพและการมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจของสตรีไทย 2.การพัฒนาศักยภาพและเสริมสร้างภาวะผู้นำ กับการมีส่วนร่วมทางการเมืองและการตัดสินใจในระดับต่างๆ ของสตรี 3.การพัฒนาการเสริมสร้างความตระหนักรู้และยอมรับความเสมอภาคระหว่างเพศ 4.การพัฒนาสุขภาวะ คุณภาพชีวิต และเสริมสร้างความมั่นคงในชีวิต 5.การสร้างกลไกและพัฒนาศักยภาพองค์การสตรีระดับชาติ” ดร.สุธาดา ฝากทิ้งท้าย
บุษยมาศ ซองรัมย์
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี