“โรฮีนจา” หรือที่ก่อนหน้านี้ถูกเรียกผ่านสื่อต่างๆ ในชื่อ “โรฮิงญา” ชนชาติที่กำลังได้รับความสนใจไปทั่วโลก ตั้งแต่มีข่าวพบหลุมศพและค่ายพักขนาดใหญ่หลายจุดในพื้นที่ภาคใต้ตอนล่างของไทย อันเป็นที่ประจักษ์ว่า “ขบวนการค้ามนุษย์” นำชาวโรฮีนจาลักลอบเข้าเมือง รวมถึงเรียกค่าไถ่จากญาติที่อยู่ในเมียนมา ประเทศต้นทางของคนกลุ่มนี้มีอยู่จริง จนนำไปสู่การติดตามจับกุมผู้กระทำผิดได้หลายราย
แต่หลังจากนั้น เรื่องราวของโรฮีนจากลายเป็นประเด็น “ดรามา” ก่อความขัดแย้งในสังคมไทย ระหว่างกลุ่มที่รู้สึก “สงสาร” อยากให้ช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ที่หนีความลำบากยากแค้นจากเมียนมา กับอีกกลุ่มที่รู้สึก “กังวล” ด้วยสาเหตุว่าชาวโรฮีนจาอาจจะมาก่อปัญหาให้กับประเทศไทยได้ ถึงขนาดที่ “นักข่าวคนดัง” ยังถูกตำหนิในโลกออนไลน์มาแล้ว หลังนำเสนอข่าว “เรียกคะแนนสงสาร” ให้กับผู้อพยพกลุ่มนี้มากเกินไป
คำถามคือ..คนไทยก็ดี ภาครัฐของไทยก็ดี เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนี้แค่ไหน?
โรฮีนจา ‘เกียจคร้าน’ จริงหรือ?
หากติดตามความเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์ สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตอนนี้คือกระแส “ไม่เอาโรฮีนจา” ทั้งกระทู้บนชุมชนออนไลน์ชื่อดังอย่าง Pantip.com และเพจในเว็บไซต์เฟซบุ๊ค เรียกร้องให้รัฐบาลไทยไม่รับและไม่ช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้นกับชาวโรฮีนจาอพยพ ซึ่งข้อกังวลที่พบบ่อยที่สุด คือชาวโรฮีนจานั้น “เกียจคร้าน” นั่งๆ นอนๆ ไม่ทำงานทำการ เมื่อเทียบกับ “ชาวจีน” ที่อพยพเข้ามาเมื่อ 50-100 ปีก่อน แล้วขยันทำงานจนร่ำรวยเป็นเศรษฐีมากมาย
ที่งานเสวนา “โรฮิงญา รัฐ ชาติ ประวัติศาสตร์ และความหวัง” 24 พ.ค. 2558 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) สุรพงษ์ กองจันทึก ประธานคณะอนุกรรมการด้านผู้อพยพไร้สัญชาติ สภาทนายความ กล่าวถึงข้อเท็จจริงในประเด็นนี้ว่า เราไม่สามารถเทียบเคียงกรณีการอพยพของชาวจีนกับชาวโรฮีนจาได้ เพราะ “บริบททางสังคม” ในยุคนั้นกับยุคนี้แตกต่างกัน
สุรพงษ์ อธิบายต่อไปว่า ในยุคที่ชาวจีนอพยพเข้ามาในแผ่นดินไทย รัฐไทยขณะนั้นไม่ได้มองว่าชาวจีนเป็นผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ดังนั้นชาวจีนจึงสามารถหางานทำได้ ซึ่งตรงข้ามกับชาวโรฮีนจาในวันนี้ ที่เข้ามาในฐานะผู้ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย เมื่อถูกจับก็จะต้องถูกกักตัวไปเพื่อรอการส่งกลับ จึงไม่สามารถทำงานได้
“ที่โรฮิงญาไม่ทำงาน เพราะเราไม่ให้เขาทำงาน แต่คนจีนเมื่อก่อนเราให้เขาทำงาน จะแก้ยังไง? ก็ต้องแก้ให้เขาทำงานสิครับ
ถ้าอยากให้เขาทำงานเหมือนคนจีน ที่ชาวโรฮิงญาเข้าเมืองมาแล้วถูกจับแล้วไม่ได้ทำงาน เพราะเราไม่ให้ทำครับ เราถือว่าเขาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย เราก็ควบคุมไว้ในพื้นที่ควบคุม เราก็ไม่ให้ทำงาน แต่คนจีนสมัยก่อนเราไม่ถือว่าเขาเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย เราเปิดให้เขาเข้ามาอยู่ในบ้านเมืองของเราได้ ทำงานได้” สุรพงษ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าชาวโรฮีนจาจำนวนมาก “ขาดความรู้” มาตั้งแต่ต้นทาง ดังเรื่องเล่าของ อาลี อาหมัด ผู้แทนจากสมาคมโรฮิงญาสากลแห่งประเทศไทย ที่ระบุว่า ในประเทศเมียนมา ชาวโรฮีนจา “ไม่มีตัวตน” ไม่ถูกรับรองให้เป็น “พลเมือง” อย่างกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ทำให้ไม่ได้รับ “สิทธิ” ขั้นพื้นฐานที่ประชาชนคนหนึ่งพึงมีพึงได้ โดยเฉพาะด้าน “การศึกษา” เมื่อชาวโรฮีนจาไม่ถือเป็นพลเมืองเมียนมา เด็กที่เกิดมาจึงไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าเรียนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ทำให้ขาดโอกาสที่จะพัฒนาตนเองเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น
“เราขอให้ลูกหลานโรฮิงญาได้เรียน ถ้าไม่ได้เรียนอนาคตจะอยู่ยังไงครับ? ปล้น ทำร้ายร่างกายผู้อื่น ขโมยบ้านคนอื่น
ขายยาบ้า ยุ่งกับยาเสพติด ไม่ดีทั้งนั้นเลย เพราะไม่มีการศึกษา อันนี้สำคัญที่สุดของชีวิตมนุษย์ ทุกวันนี้โรฮิงญาที่พม่าเรียนไม่ได้ครับ พม่าปฏิเสธทุกอย่าง ไปเรียนมหาวิทยาลัยก็ถูกกดดันให้ออกโรฮิงญามาเรียนได้ยังไงไม่มีเอกสาร ไล่ไปทำนา เลี้ยงเป็ด เลี้ยงแพะเลี้ยงวัว แล้วรัฐบาลพม่าก็เอาไปกิน ทหารเอาไปกิน ถ้าไม่ให้ก็ทุบตีทรมาน ตอนนี้ทหาร 250,000 นาย อยู่ในอาระกันครับ หากินกับโรฮิงญา” อาลี ระบุ
‘จบ-ไม่จบ’ คำตอบอยู่ที่ ‘เมียนมา’!!!
อย่างที่กล่าวไปข้างต้น เพราะความที่เมียนมาไม่ยอมรับโรฮีนจาเป็นชาติพันธุ์หนึ่งของประเทศ ทำให้ชาวโรฮีนจาไม่มีเอกสารรับรองใดๆ จึงเข้าไม่ถึงสิทธิต่างๆ ประเด็นนี้ อาลี เรียกร้องให้ “พิสูจน์สัญชาติ” ซึ่งเมียนมาต้องยอมรับการมีตัวตนของชาวโรฮีนจาในฐานะพลเมือง อันเป็นการยุติปัญหาผู้อพยพได้อย่างสมบูรณ์
แต่เรื่องนี้ต้องยอมรับว่า “ไม่ง่าย” ผู้แทนชาวโรฮีนจารายนี้ จึงเรียกร้องไปยังประชาคมโลก ไม่ว่าจะเป็นประชาคมอาเซียน ตลอดจนชาติมหาอำนาจต่างๆ รวมกันกดดันเมียนมาอีกทางหนึ่ง ในการประชุมใหญ่เพื่อแก้ไขปัญหาโรฮีนจา ซึ่งจะจัดขึ้นในประเทศไทย วันที่ 29 พ.ค. 2558 นี้
“อาเซียนก็รู้ ยุโรปก็รู้ว่า โรฮิงญาเกิดจากประเทศอะไร? อยู่พลเมืองไหน? อยู่พม่า ทำไมโรฮิงญาพิสูจน์สัญชาติไม่ได้ วันที่ 29 นี้ไม่ต้องประชุม แต่คุยกับรัฐบาลพม่าเลยได้ไหม? ว่าชาวโรฮิงญานี่คุณจะรับรองหรือไม่รับรอง สิทธิ์ของโรฮิงญาควรให้หรือไม่ให้ วันที่ 29 นี้ 15 ประเทศมาเสียงบประมาณครับ มาคุยกันแล้วก็ไป ผู้นำทั่วโลกเข้าไปพม่า ไม่เห็นทำอะไรได้เลย ขอให้วันที่ 29 นี้เอาจริงจัง ประชาคมโรฮิงญาขอให้คืนสิทธิ์ความเป็นธรรมได้ไหม? คุยกับรัฐบาลพม่าได้ไหม? เอาจริงจังกับรัฐบาลพม่าเลย คนที่มีอำนาจทั่วโลก” ผู้แทนชาวโรฮีนจารายนี้ กล่าวเรียกร้อง
ขณะที่ สุรพงษ์ กล่าวเสริมว่า อยากให้เปลี่ยนจากคำว่า “กดดัน” มาใช้คำว่า “ช่วยเหลือ” จะดีกว่า โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทย เพราะการกดดันคงเป็นไปได้ยาก รัฐบาลเมียนมาที่ใช้นโยบายแบบนี้มานานคงไม่ยอมเปลี่ยนแปลงง่ายๆ แต่ถ้าไทยเข้าไปร่วมลงมือทำด้วย เชื่อว่าน่าจะได้รับความร่วมมือจากเมียนมามากกว่า
ต้อง ‘ดำเนินคดี’ ไม่ใช่ ‘ผลักดัน’!!!
ประเด็นต่อมา..มีคำถามมากมายว่าเกิดอะไรขึ้น เหตุใดเรือบรรทุกชาวโรฮีนจามากมายถึงหลั่งไหลเข้าสู่น่านน้ำไทย ทั้งๆ ที่รัฐบาลไทยมีนโยบายผลักดันออกไปอยู่ตลอดเวลา ประเด็นนี้ สุรพงษ์ระบุว่า นโยบายปัจจุบันนั้น “ผิดพลาด” เพราะไปใช้การ “ผลักดัน” ซึ่งไม่มีในกฎหมายฉบับไหนของไทยทั้งสิ้น แทนที่จะใช้การ “ส่งกลับ” ตาม พ.ร.บ.คนเขาเมือง พ.ศ. 2522 ซึ่งเมื่อเจ้าหน้าที่พบผู้ลักลอบเข้าเมือง ก็จะต้องจับกุม ตามด้วยส่งตัวไปดำเนินคดี และเมื่อศาลตัดสินว่ามีความผิด
ก็จะนำเข้าสู่กระบวนการส่งกลับประเทศต้นทาง
นักกฎหมายผู้ทำงานด้านสิทธิชาติพันธุ์รายนี้ ยกตัวอย่างเมื่อปี 2552 ที่ไทยจับกุมชาวโรฮีนจาที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายได้กลุ่มหนึ่ง และส่งฟ้องศาลดำเนินคดีตามกฎหมาย ผลคือจำนวนชาวโรฮีนจาลักลอบเข้าเมือง ลดลงจาก “หลักพัน” เหลือแค่ “หลักสิบ” ไปพักใหญ่ จนระยะหลังๆ ที่ไทยกลับมาใช้แนวทางผลักดันอีกครั้ง จำนวนชาวโรฮีนจาอพยพจึงกลับมาเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดิม ซึ่งที่เป็นเช่นนั้น เพราะบรรดา“นายหน้าค้ามนุษย์” เห็นช่องทางทำมาหากิน เนื่องจากรู้ว่าพาเข้ามาแล้วไม่ถูกทางการไทยดำเนินคดี
นอกจากนี้..การส่งกลับยังดีกว่าการผลักดัน เพราะการผลักดันนั้นเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า เขาจะกลับมาอีกหรือไม่? หรือจะไปที่ไหนต่อ? แล้วผู้อพยพเหล่านี้จะเป็นอย่างไร? แต่หากใช้การส่งกลับ รัฐบาลประเทศต้นทางต้องรับรู้และให้การรับรองตามหลักการ “ส่งกลับอย่างปลอดภัย” รวมถึงยังสามารถติดตามตรวจสอบในภายหลังได้ด้วยว่า เมื่อรับผู้อพยพกลับไปแล้ว ประเทศต้นทางดูแลพวกเขาอย่างดีตามหลักสิทธิมนุษยชนหรือไม่?
“กระบวนการส่งกลับมันต้องมีความปลอดภัยครับ ถ้าไม่ปลอดภัยมันก็ไม่ใช่การส่งกลับ หลักการส่งกลับโดยปลอดภัยมันมีอยู่ และพม่าจะรับก็ต้องรับอย่างเป็นทางการ หมายถึงมีการเซ็นรับนะครับ คุณต้องรับประกันความปลอดภัยให้เขา แล้วกระบวนการนี้ต้องติดตามต่อ ให้เขาได้อยู่อย่างปลอดภัยในประเทศเขาก็ต้องมีอยู่ ถ้าส่งกลับอย่างเป็นทางการ ยังไงต้องปลอดภัยครับ แต่ถ้าไม่เป็นทางการ เราไปดูความปลอดภัยไม่ได้ครับ” สุรพงษ์ ฝากทิ้งท้าย
หลังจากนี้ก็คงต้องจับตากันต่อไปถึงการประชุมในวันที่ 29 พ.ค. 2558 ว่าท้ายที่สุดแล้วจะมีมติอย่างไร แต่ทั้งหมดนี้ หวังว่าสังคมไทยจะหยุด “มโน” ด้วยอคติ แต่เข้าใจ “ความเป็นจริง” ว่าต้นตอของปัญหามาจากไหน?
และใครคือ “เจ้าภาพหลัก” ที่ต้อง “รับผิดชอบ” ก่อนเป็นรายแรก ก่อนที่จะให้คนอื่นๆ เข้าไปช่วยเหลือ?
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี