กำลังเป็นที่ “อกสั่นขวัญหาย” ไปทั่วโลกอยู่ในขณะนี้ กับการแพร่ระบาดของไวรัส “เมอร์ส-โควี” (MERS-CoV) ที่บางคนเรียกว่าโรค “ไข้หวัดอูฐ” เพราะมีการพบเชื้อในอูฐ หรือ “โรคปอดบวมตะวันออกกลาง” ตามอาการและพื้นที่พบเชื้อ เพราะจากเดิมที่โรคนี้เป็น “โรคเฉพาะถิ่น” ที่มักพบได้ในภูมิภาคตะวันออกกลาง แต่เมื่อ 20 พ.ค. 2558 ที่ผ่านมา มีการยืนยันว่าพบผู้ป่วยที่ “เกาหลีใต้” และหลังจากนั้นก็มีชาวเกาหลีติดเชื้อจากผู้ป่วยรายนี้ไปแล้วกว่า 60 ราย และบางรายอาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิต
ซึ่งการระบาดของไวรัสเมอร์ส-โควีหนนี้ ถือว่าเป็น “การระบาดอย่างรวดเร็ว” (Super Spreading) ครั้งแรกนอกเขตต้นกำเนิดของเชื้อ จึงเกิดคำถามขึ้นว่า “แล้วประเทศไทยมีความเสี่ยงแค่ไหน?”เพราะแดนกิมจินี้ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวในฝันของคนไทยจำนวนไม่น้อย รวมถึงทุกๆ ปี คณะเดินทางชาวมุสลิมก็จะไปแสวงบุญในพิธีฮัจญ์ ณ นครเมกกะ ประเทศซาอุดีอาระเบีย อันเป็นดินแดนที่ถูกรายงานว่าเป็นจุดที่ค้นพบเชื้อนี้เป็นที่แรก
ที่งานแถลงข่าว “มหันตภัยโรคทางเดินหายใจตะวันออกกลาง/เมอร์ส-โควี” ณ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 5 มิ.ย. 2558 ศ.นพ.ดร.นรินทร์ หิรัญสุทธิกุล ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ป้องกันและโรคติดเชื้อ ภาควิชาเวชศาสตร์ป้องกันและสังคม คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า แต่เดิมโรคเมอร์ส-โควี แพร่ระบาดในพื้นที่ตะวันออกกลาง โดยมีการค้นพบเชื้ออย่างเป็นทางการเมื่อปี 2555
ผู้ป่วยรายแรกเป็นชายวัย 60 ปี ชาวซาอุดีอาระเบีย อาการที่พบคือปอดบวม แต่หลังจากนั้นอาการก็ทรุดลงอย่างรวดเร็วและมีอาการไตวายร่วมด้วย ผู้ป่วยรายนี้เสียชีวิตในอีก 2 สัปดาห์ถัดมา แต่ ณ เวลานั้นยังไม่รู้ว่าเป็นโรคอะไร แต่อีกไม่นานก็มีผู้ป่วยรายที่ 2 เป็นชายวัย 49 ปี ชาวกาตาร์ มีอาการปอดบวมและไตวายเช่นกัน จากการตรวจประวัติพบว่าก่อนจะป่วยได้เดินทางเข้าไปยังซาอุดีอาระเบีย แต่รายนี้ “ดวงไม่ถึงฆาต” จึงยังไม่เสียชีวิต จากการนำเสมหะไปตรวจ พบเชื้อที่มีความใกล้เคียงกับเสมหะที่พบในผู้ป่วยรายแรกถึงร้อยละ 99.5 โลกจึงได้รู้จักเชื้อนี้อย่างเป็นทางการ
จนถึงต้นเดือน มิ.ย. 2558 องค์การอนามัยโลก (WHO) ยืนยันแล้วว่ามีผู้ติดเชื้อสะสมราว 1,200 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้วกว่า 400 ราย!!!
คำถามต่อมา..เหตุใดเกาหลีใต้ ประเทศที่ว่ากันว่ามีเทคโนโลยีทันสมัยมากอันดับต้นๆ ของโลก ถึงปล่อยให้มีการระบาดอย่างรวดเร็วขนาดนี้? ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะด้านไวรัสวิทยาคลินิก ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า คงเป็นเรื่องที่วงการแพทย์เกาหลีเองก็ “คาดไม่ถึง” เพราะไม่รู้ว่าจะมีผู้ป่วยเชื้อนี้ที่สามารถแพร่กระจายได้เป็นวงกว้าง
นพ.ยงลำดับเหตุการณ์ระบาดในเกาหลีใต้ว่า ผู้ป่วยรายแรกเดินทางจากตะวันออกกลางมาที่เกาหลีใต้ เมื่อดูประวัติพบว่าเคยอยู่อาศัยทั้งใน บาห์เรน และ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE) อีกทั้งมีอาชีพเป็นนักธุรกิจการเกษตร ซึ่งไม่แน่ชัดว่ามีการทำฟาร์มอูฐด้วยหรือไม่? ผู้ป่วยรายนี้มีอาการตั้งแต่ 11 พ.ค. 2558 และระหว่างนั้นภรรยาของเขาเป็นผู้ดูแล จากนั้นชายคนนี้เข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล วันที่ 15 พ.ค. 2558 ส่วนภรรยาเข้า รพ. วันที่ 18 พ.ค. 2558 จากนั้นจึงยืนยันว่าตรวจพบเชื้อนี้ทั้งคู่ในวันที่ 20 พ.ค. 2558 ทั้งที่ภรรยานั้นไม่ได้เดินทางไปตะวันออกกลางด้วย
และในระหว่างนั้น ผู้ที่มาเยี่ยมทั้งคู่ในช่วงที่ข้อวินิจฉัยโรคยังไม่ชัดเจน ตลอดจนบุคลากรทางการแพทย์ ได้ติดเชื้อนี้ไปโดยไม่รู้ตัว ในจำนวนนี้มีรายหนึ่งเดินทางเข้าไปยัง สาธารณรัฐประชาชนจีน และไปถูกตรวจพบเชื้อที่นั่น รวมถึงเชื้อได้แพร่กระจายไปอีกหลายโรงพยาบาลของเกาหลีใต้ ในเวลาเพียง 2 สัปดาห์เศษๆ เท่านั้น
ชัดเจน..เชื้อนี้แพร่กระจายได้จาก “คนสู่คน”!!!
ความน่าสะพรึงกลัวของไวรัสเมอร์ส-โควี คือเป็นเชื้อที่ “ไม่มีวัคซีน-ไม่มียาต้าน” การรักษาทำได้แต่เพียงประคับประคองตามอาการเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นพ.ยง ไม่อยากให้สังคมไทย “ตื่นตระหนก” จนเกินไป เพราะแม้จะเป็นเชื้อร้ายที่ไม่มียารักษาแบบตรงๆ แต่อีกด้านหนึ่ง เชื้อนี้
ก็ไม่ได้ทำอันตรายกับใครได้ง่ายนัก
ประการแรก..กลุ่มเสี่ยงจริงๆ คือบรรดา “ผู้สูงวัย” เพราะจากสถิติที่พบ ผู้ป่วยที่เสียชีวิตมักจะเป็นผู้ที่มีอายุมากเสียหน่อย เมื่อเทียบกับวัยเด็กและวัยหนุ่มสาวที่รับเชื้อ โอกาสเสียชีวิตจะน้อยกว่ามาก เพราะภูมิต้านทานจะแข็งแรงกว่า และ ประการที่สอง..แม้จะแพร่จากคนสู่คนได้ แต่ยังไม่มีรายงานว่าเชื้อนี้สามารถติดต่อทางอากาศ ผู้ป่วยรายที่ผ่านๆ มา พบว่าติดเชื้อจากการสัมผัสละอองของเหลวจากร่างกายของผู้ป่วยโดยตรงทั้งสิ้น
“จะตายไม่ตาย ถ้าร่างกายแข็งแรง อายุน้อย โอกาสรอดก็สูง ก็เหมือนโรคทั่วไปที่ผู้สูงอายุโอกาสเสียชีวิตก็มาก จะรอดไม่รอดขึ้นอยู่กับภูมิคุ้มกันของเราที่จะไปต่อสู้กับไวรัสเอง และโรคนี้ไม่ได้ติดต่อทางอากาศ ไม่ได้ลอยอยู่ในอากาศ แต่มันต้องมีฝอยละอองมาสัมผัส แล้วจึงจะเข้าไปผ่านจมูก ฉะนั้นก็ไม่ได้ถึงกับน่ากลัวมากมาย” นพ.ยง กล่าว
สำหรับการป้องกันและลดโอกาสการแพร่กระจายของเชื้อ ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบาดรายนี้ ระบุว่า สำหรับผู้ที่เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาด เช่น ภูมิภาคตะวันออกกลางหรือประเทศเกาหลีใต้ เมื่อกลับมาไทยควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจว่าได้รับเชื้อมาหรือไม่ เพื่อที่หากติดเชื้อจะได้ทำการรักษาได้ทันท่วงที
อนึ่ง..ระยะฟักตัวของเชื้อเมอร์ส-โควีอยู่ที่ราว 14 วัน ขณะที่ข้อปฏิบัติของผู้ที่ต้องเดินทางเข้าไปยังพื้นที่เสี่ยง เช่น อย่าเข้าใกล้ผู้มีอาการต้องสงสัย หรือเข้าไปยังจุดที่มีการระบาดรุนแรง เป็นต้น เช่นเดียวกับ นพ.นรินทร์ที่กล่าวเสริมว่า วิธีการป้องกันพื้นฐานที่คุ้นเคยกันดี เช่น การสวมหน้ากากอนามัย และการล้างมือก่อนรับประทานอาหาร ก็ช่วยลดการแพร่เชื้อได้มากแล้ว
“ที่เกาหลีนี่เกิดจากสัมผัสกับผู้ป่วยหรือญาติผู้ป่วยชัดเจนเลย เพียงแต่ว่าหลายคนไม่ทันระวัง ดังนั้นในภาคประชาชนเรื่องของสุขอนามัย แม้กระทั่งการล้างมือหรือแค่การใส่หน้ากากอนามัยผมว่ามันก็ป้องกันได้เยอะมากๆ แล้ว หรือในบุคลากรทางการแพทย์ คือเขาไม่ได้สงสัยไงครับ มันก็สัมผัสไปเรียบร้อยแล้ว” นพ.นรินทร์ ระบุ
ประเด็นสุดท้าย..ประเทศไทยมีความพร้อมแค่ไหน? ข้อนี้ นพ.ยง ยืนยันว่า “ค่อนข้างมั่นใจ” เพราะวงการแพทย์ไทยผ่านเหตุการณ์โรคระบาดมาแล้วหลายครั้ง ไม่ว่าจะเป็น โรคซาร์ส (SARS), ไข้หวัดนก (H5N1), ไข้หวัดใหญ่ 2009 (H1N1) รวมถึง “โรคมือ-เท้า-ปาก” และเราสามารถจัดการกับปัญหาได้ดีมาตลอด จึงเชื่อว่าหากมีการพบเชื้อเมอร์ส-โควีในไทย ก็น่าจะสามารถควบคุมได้แน่นอน
“เราผ่านมาแล้วทั้งซาร์ส หวัดนก หวัด 2009 แล้วก็มาโรคมือเท้าปาก แล้วตอนนี้ก็โรคปอดบวมตะวันออกกลาง ก็คงคิดว่าความพร้อมมี ตามโรงพยาบาลต่างๆ ก็มีห้องแยกผู้ป่วยโรคติดต่อทางเดินหายใจ ห้องแบบนี้ลมหรืออากาศในห้องนั้นจะไม่หลุดออกมา อากาศที่จะออกมาจะออกผ่านเครื่องกรองที่เป็นตัวจับเชื้อโรคเอาไว้ ก่อนที่จะปล่อยอากาศออกมา ผมมั่นใจว่าโรงพยาบาลศูนย์หรือโรงพยาบาลมหาวิทยาลัย มีห้องนี้แน่นอน
แต่โรงพยาบาลจังหวัดหรืออำเภอ ถึงแม้จะไม่มี เราก็มีมาตรการว่าถ้าสงสัยก็อย่าไปให้เขาอยู่รวม ก็ควรจะต้องอยู่ห้องแยก แล้วก็ควบคุมให้ดี เพราะโรคนี้ไม่ได้ติดต่อแบบลอยอยู่ในอากาศ” นพ.ยง ฝากทิ้งท้าย
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี