“ปัญหาเยาวชนดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีความรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษา มีร้านขายอาหารและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เพิ่มขึ้น ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา บางแห่งเพิ่มขึ้น 100 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เห็นนักศึกษานั่งดื่มสุราในยามวิกาล เมาแล้วเกิดเหตุทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย บางทีถึงขั้นเสียชีวิต”
ถ้อยแถลงของ นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะประธานคณะกรรมการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ต่อสื่อมวลชน เมื่อ 18 มิ.ย. 2558 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นสาเหตุให้คณะกรรมการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีมติให้ “ห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ใกล้สถานศึกษาระดับอุดมศึกษาและอาชีวศึกษา ในระยะ 300 เมตร ตลอด 24 ชั่วโมง” โดยคาดว่าจะเสนอต่อนายกรัฐมนตรี ในวันที่ 3 ก.ค. 2558 นี้ และหากนายกฯ เห็นชอบ จะมีผลบังคับใช้หลังประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปแล้ว 30 วัน
หลังการแถลงข่าวของ รมว.สาธารณสุข มุมหนึ่งคงเป็น “ความยินดี” ของเครือข่ายภาคประชาชนที่ขับเคลื่อนแนวคิดดังกล่าว เพราะไม่เคยได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลทุกชุดตลอดหลายปีที่ผ่านมา ด้วยเหตุผลกระทบต่อผู้ประกอบการที่ขออนุญาตเปิดร้านอย่างถูกต้องมายาวนานมากบ้าง หรือบางจุดเป็นย่านท่องเที่ยวชื่อดังบ้าง แต่อีกมุมหนึ่ง สำหรับผู้ประกอบการแล้ว ต้องถือว่าเป็น “ฝันร้าย” อยู่ไม่น้อย
เย็นวันที่ 18 มิ.ย. 2558 วันเดียวกันกับที่ รมว.สาธารณสุข แถลงข่าว “สกู๊ปหน้า 5” ลงพื้นที่สำรวจบริเวณ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย (UTCC) พื้นที่หนึ่งในกรุงเทพมหานคร ที่ขึ้นชื่อเรื่องร้านเหล้ารอบสถานศึกษา และได้พูดคุยกับเจ้าของหรือผู้ดูแลร้านหลายราย ซึ่งทุกรายต่างรู้สึก “กังวลใจ” กับประกาศดังกล่าวทั้งสิ้น
“อ๊อด” เจ้าของร้านเหล้ารายหนึ่งไม่ไกลจากทางเข้าด้านหน้ามหาวิทยาลัยเท่าใดนัก เล่าว่า ร้านนี้ตนเพิ่ง “เซ้ง” ต่อมาและเปิดบริการได้เพียงไม่ถึงเดือนเท่านั้น โดยเปิดเป็น “ร้านนั่งดื่ม” แบบเปิดโล่ง ปัจจุบันมีพนักงาน 5 คน เป็นพนักงานเสิร์ฟ 4 คน แม่บ้าน 1 คน นอกจากนี้ยังมีนักดนตรีและนักจัดเพลง (ดีเจ) หมุนเวียนมาเล่นสลับกันไป
ซึ่งหากต้องปิดร้านไปจริง คนกลุ่มนี้ก็อาจต้อง “ตกงาน”!!!
“อ๊อด” กล่าวต่อไปว่า ที่ผ่านมา ตนพยายามปฏิบัติตามกฎหมายทุกอย่าง ทั้งการตรวจบัตรประชาชนเพื่อไม่ให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปีเข้ามาใช้บริการ การห้ามใช้บริการขณะแต่งเครื่องแบบนักศึกษา และปิดบริการไม่เกินเที่ยงคืน หรือ 24.00 น. ดังนั้นจึงค่อนข้างไม่สบายใจหลังจากมีข่าวว่าจะมีประกาศดังกล่าวออกมา
“ผมก็อยากประกอบการต่อนะ ผมไม่อยากให้ปิด เพราะมันก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร เราก็ปิดตามเวลา ขออนุญาตเราก็ขอถูกต้อง ถ้าปิดไปเราก็คงขาดรายได้ เพราะอันนี้เราก็เซ้งมา ก็ใช้เงินเยอะอยู่” เจ้าของร้านรายนี้ ระบุ
เช่นเดียวกับ “ที” หนุ่มอีกรายที่ดูแลร้านเหล้าในละแวกเดียวกันกับร้านของอ๊อด หนุ่มรายนี้กล่าวว่า ร้านของตนค่อนข้าง “เก่าแก่” เพราะเปิดมาได้ประมาณ 10 ปีแล้ว ลูกค้ามีตั้งแต่วัย 20 ต้นๆ ไปจนถึงวัยกลางคน แน่นอนว่า “ผ่านอะไรมามาก” พอสมควร ทั้งเยาวชนอายุไม่ถึง 20 ปีที่พยายามเข้ามาใช้บริการ ที่ทางร้านต้องคอยระวังอยู่ตลอด, จักรยานยนต์ของลูกค้าถูกขโมย แต่ในปัจจุบันมีจุดรับฝากรถที่ปลอดภัยแล้ว หรือแม้แต่การทะเลาะวิวาทของวัยรุ่น ซึ่งสาเหตุก็มาจากบางร้านที่ “ปล่อยปละละเลย” ให้เยาวชนอายุไม่ถึงเข้ามาใช้บริการ
เมื่อ “วุฒิภาวะ” ที่ยังไม่เพียงพอ เจอกับ “ฤทธิ์แอลกอฮอล์” เรื่องวุ่นวายก็ตามมาเป็นธรรมดา!!!
“พวกอายุไม่ถึงที่พยายามเข้า เราไม่ให้เข้าอย่างเดียวเลยครับ เพราะถ้าตำรวจมาเจอเราก็โดน ไม่เสี่ยงดีกว่า ไม่อยากเสี่ยงกับตำรวจ” ผู้ดูแลร้านรายนี้ กล่าวพลางหัวเราะ
ในมุมมองเกี่ยวกับร้านเหล้าใกล้มหาวิทยาลัย “ที” ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า การเปิดร้านจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในระยะที่ไม่ห่างจากมหาวิทยาลัยมากนัก อาจช่วย “ลดความเสี่ยง” เสียมากกว่าก็เป็นได้ เพราะอย่างน้อยๆ เมื่อดื่มแล้วหากเมาก็ยังเดินกลับที่พักด้วยตนเองได้ แต่หากต้องไปดื่มกินในที่ไกลๆ ก็ต้องกลับโดยแท็กซี่หรือให้บุคคลอื่นขับรถไปส่ง ซึ่งอาจเกิดอันตรายได้โดยเฉพาะหากเป็นหญิงสาว หรือหากขับรถไปเอง ขากลับก็เสี่ยงที่จะไปเกิดอุบัติเหตุ ทำความเสียหายแก่บุคคลอื่นได้อีก
ดังนั้นการควบคุม..ควรเน้นเรื่องอื่นๆ เช่น อายุผู้ใช้บริการหรือเวลาเปิดปิดร้าน น่าจะดีกว่า!!!
“สมมุติผมอยู่หอการค้า ต้องไปกินเหล้าที่เลียบทางด่วน (รามอินทรา) การเดินทางผมว่าอันตรายนะ ทั้งไปและกลับ นั่งแท็กซี่เมากลับมา ไม่รู้สภาพเราจะเป็นยังไง แล้วเอารถไปยังไงก็เจอด่านอยู่แล้ว หรืออาจไปเกิดอุบัติเหตุ ผมว่ามาคุมเรื่องเวลาปิด เรื่องเสียงรบกวน เรื่องเด็กเข้าร้าน อะไรพวกนี้ดีกว่า
ผมว่านะ ถ้าคนจะกินอยู่ไหนมันก็ไปกิน แต่ถ้าอยู่ใกล้ กินเสร็จแล้วเมา หออยู่แค่นี้ก็เดินขึ้นหอ ก็ไม่มีอะไร พรุ่งนี้ก็เรียนต่อ แล้วแถวนี้ไม่ค่อยจะเปิดเกินเวลากันหรอกครับ มันเป็นเขตชุมชน มีหอพักมีบ้านคน เราก็ต้องให้ความร่วมมือกับเขานิดนึง” ผู้ดูแลร้านรายนี้ ให้ความเห็น และกล่าวเสริมว่า
ปกติแล้วพอเวลา 23.00 น. เศษๆ ร้านแถบนี้ก็จะเริ่มลดเสียงเพลงกันแล้วเพื่อให้ลูกค้าทยอยออกจากร้าน ก่อนที่ร้านจะปิดในเวลา 24.00 น.
จากบริเวณด้านหน้า เราเดินต่อไปยังประตูด้านหลังของมหาวิทยาลัย อันเป็นอีกจุดที่มีร้านนั่งดื่มแบบเปิดโล่งหลายร้านตั้งอยู่ ที่นี่เราพบกับ “เจ๊ก้อย” สาวใหญ่เจ้าของร้านแห่งหนึ่งในบริเวณนี้ เธอกล่าวเช่นเดียวกันว่า เป็นเพราะผู้ประกอบการบางราย “เห็นแก่ได้” ปล่อยให้เยาวชนอายุไม่ถึง 20 ปีมาใช้บริการ และเมื่อคนกลุ่มนี้มีเรื่องทะเลาะวิวาทจนเป็นข่าวแพร่ออกไป ก็กลายเป็นทุกร้านรอบมหาวิทยาลัยที่จำหน่ายเครื่องดื่แอลกอฮอล์ ถูกมองอย่าง “เหมารวม” จากสังคมว่าเป็น“แหล่งมั่วสุม” เหมือนกันไปหมด ทั้งที่อีกหลายร้านไม่ได้ทำผิดอะไรด้วย
“ถามว่ารับนักศึกษาไหม? ถ้าไม่ใส่ชุดมาก็รับ แต่ถ้าถามว่ารับเด็กไหม? พี่ไล่เลย มีครั้งนึงถามเด็กผู้หญิงว่าอายุถึง 18 หรือยัง? เรียนอยู่ไหน? ขอดูบัตรประชาชนหน่อย มันย้อนว่าทำไมหนูต้องมีบัตรประชาชน? หนูมีตังค์กิน ก็บอกไปว่าถึงมีตังค์กินร้านก็ไม่รับค่ะ คือพี่เป็นคนตรงไง ยิ่งมากวนแบบนี้ยิ่งไม่รับ คืออย่าไปหวังเงินจากเด็กพวกนี้ไง มันไม่คุ้ม อย่ารับเด็กถ้าไม่อยากมีปัญหา”
“เจ๊ก้อย” ฝากทิ้งท้าย และกล่าวเสริมอีกว่า จากประสบการณ์ที่อยู่ในวงการนี้มากว่า 10 ปี หากปล่อยให้เยาวชนอายุไม่ถึงเกณฑ์เข้าร้าน บ่อยครั้งเข้า สิ่งที่น่ากลัวกว่าอย่าง “ยาเสพติด” ซึ่งเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการอย่างสุจริตชนไม่อยากเข้าไปข้องแวะด้วยจะตามมาทันที
ปัจจุบันข้อกำหนดตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสถานบริการที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ มีอยู่ดังนี้ 1.เวลาเปิดและปิดร้าน ระหว่างเวลา 18.00-01.00 น. ของวันรุ่งขึ้น สำหรับร้านที่อยู่ในพื้นที่ที่จัดให้ตั้งสถานบริการ (โซนนิ่ง) และเวลา 18.00-24.00 น. ของวันเดียวกัน สำหรับร้านที่อยู่นอกพื้นที่ที่จัดให้ตั้งสถานบริการ
2.จำกัดอายุ ห้ามผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี เข้าใช้บริการ และห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 20 ปี 3.เป็นธุรกิจควบคุม ผู้ประกอบการต้องยื่นขอใบอนุญาต ซึ่งข้อห้ามดังกล่าวผู้ใดฝ่าฝืนจะมีโทษทั้งจำคุกและปรับ นอกจากนี้ยังมีข้อปฏิบัติอื่นๆ ที่เป็นธรรมเนียมทั่วไป เช่น ห้ามพกพาอาวุธเข้ามาในร้านเพื่อป้องกันเหตุรุนแรง และห้ามแต่งกายในชุดนักศึกษาเข้ามาใช้บริการ เพื่อไม่ให้ภาพลักษณ์ของร้านดูไม่งาม เป็นต้น
ทั้งหมดนี้..เรามิได้ส่งเสริมให้ตั้งร้านเหล้ารอบสถานศึกษา เพียงแต่ต้องการสะท้อนอีกมุมมองหนึ่ง นั่นคือเสียงของผู้ประกอบการที่ทำถูกต้องตามกฎหมายตลอดมา แต่หากประกาศดังกล่าวซึ่งเป็น “ของใหม่” มีผลบังคับใช้จริง ร้านเหล่านี้ก็จะต้องได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบจากภาครัฐ ว่าจะมีมาตรการเยียวยาอย่างไรกับผู้ประกอบการกลุ่มนี้ ตามหลักแห่งความเป็นธรรมที่ว่า “กฎหมายไม่ควรมีผลย้อนหลังในทางที่เป็นโทษ” ดังนั้นหากจำเป็นต้องออกกฎหมายดังกล่าว ก็ควรชดเชยให้กลุ่มที่ได้รับผลกระทบตามสมควร
นี่เป็นสิ่งที่ทุกหน่วยงานผู้เกี่ยวข้อง ต้องไม่ลืมที่จะนำไปพิจารณาด้วย!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี