เรื่องวุ่นๆ ของการศึกษาไทยยังมีมาให้พูดถึงอย่างต่อเนื่อง หลังการเปิดเผยของ สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ที่ระบุว่า ประเทศไทยใช้จ่ายด้านการศึกษาไปถึงปีละกว่า 8 แสนล้านบาท ในจำนวนนี้เป็น “งบประมาณแผ่นดิน” ถึงปีละกว่า 5 แสนล้านบาท เรียกว่าแซงหน้า “กระทรวงกลาโหม” ที่กลุ่มการเมืองบางกลุ่มมักบอกว่าได้รับงบประมาณมากที่สุดไปกว่าเท่าตัว
และเมื่อเปรียบเทียบกับหลายๆ ประเทศ งานวิจัยว่าด้วยบัญชีรายจ่ายด้านการศึกษาแห่งชาติ ที่มี รศ.ดร.ชัยยุทธ ปัญญสวัสดิ์สุทธิ์ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นหัวหน้าคณะผู้วิจัย พบว่า ประเทศไทยใช้งบประมาณด้านการศึกษาสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลก ถึงร้อยละ 5.10 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) แซงหน้าทั้งเกาหลีใต้ (ร้อยละ 4.86) ญี่ปุ่น (ร้อยละ 3.78) ฮ่องกง (ร้อยละ 3.42) และสิงคโปร์ (ร้อยละ 3.07)
ทว่าแม้จะใช้จ่ายงบประมาณไปมากมาย..แต่ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาที่ได้กลับตรงกันข้าม!!!
ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ อาจารย์ชัยยุทธ กล่าวในงานเสวนา “ความจริงของรายจ่ายการศึกษาไทย (เผยข้อเท็จจริงเพื่อการปฏิรูป)” เมื่อปลายเดือน พ.ค. 2558 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ถึงสัดส่วนการใช้จ่ายงบประมาณด้านการศึกษา โดยในปี 2556 พบว่า ร้อยละ 86 ใช้จ่ายไปกับเงินเดือนครูและการบริหารจัดการระบบการศึกษา ส่วนที่เหลือจึงตกถึงตัวผู้เรียน
เมื่อแยกการใช้จ่ายเป็นระดับชั้น พบว่าระดับประถมศึกษา มัธยมศึกษาสายสามัญ และอุดมศึกษา ได้รับงบประมาณมากที่สุดเป็นอันดับ 1-3 ขณะที่ ระดับอาชีวศึกษาได้รับงบประมาณน้อยที่สุดสวนทางกับคำกล่าวของรัฐบาลไม่ว่าชุดใด ที่มักบรรจุนโยบายส่งเสริมการเรียนในระดับอาชีวศึกษาไว้เสมอ เพื่อหวังให้คนไทยยกระดับเป็น แรงงานมีฝีมือ (Skilled Labour) เช่นเดียวกับ ระดับปฐมวัย หรือก่อนประถมศึกษา อันเป็น ช่วงวัยที่สำคัญที่สุดของมนุษย์ ก็ยังไม่ได้รับการสนับสนุนเท่าที่ควร
ประเด็นต่อมา..นักเศรษฐศาสตร์รายนี้ ตั้งข้อสังเกตว่า “บางครั้งความเท่าเทียมอาจไม่ใช่ความเป็นธรรม” เห็นได้จากนโยบายอุดหนุนรายหัว ที่ภาครัฐจ่ายเงินรายหัวให้เด็กทุกคนเท่ากัน ผลคือเด็กในครอบครัวฐานะดีจะได้ประโยชน์มากกว่าเด็กในครอบครัวระดับล่าง
นี่จึงเป็นสาเหตุว่า..ทำไมประเทศไทยถึงไม่เคยแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้เลย!!!
“นโยบายควรหันมาเน้นการลดความเหลื่อมล้ำมากกว่าการกระจายให้เท่าเทียมกัน เราพยายามจัดสรรรายหัวให้เท่าเทียมกัน แต่การจัดสรรให้เท่าเทียมบางครั้งมันไม่เป็นธรรม บางครั้งก็ต้องจัดให้ไม่เท่ากันจึงจะเป็นธรรมและลดความเหลื่อมล้ำได้ ฉะนั้นก็อาจต้องมองจุดนี้มากขึ้น จะต้องคำนึงถึงความแตกต่างทั้งพื้นที่ ภูมิศาสตร์ และความจำเป็นของผู้เรียน” อาจารย์ชัยยุทธ กล่าว
สอดคล้องกับความเห็นของ ดร.ภูมิศรัณย์ ทองเลี่ยมนาค ผู้แทนจากสำนักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ ยกตัวอย่างในบางประเทศ ที่รัฐบาลสามารถรู้ได้ว่าครอบครัวไหนมีฐานะเป็นอย่างไร นำไปสู่การจ่ายเงินช่วยเหลือได้เหมาะสม กับแต่ละครอบครัว แต่การจะทำเช่นนั้นได้ สิ่งสำคัญคือต้องมี “ฐานข้อมูล” ที่ละเอียดเพียงพอ ซึ่งประเทศไทยยังขาดจุดนี้อยู่พอสมควร
“ในบางประเทศ การสนับสนุนเงินให้กับนักเรียนต่อหัว คนที่อยู่ในครอบครัวที่ยากจนกว่า หรืออยู่ในโรงเรียนที่อยู่ในแหล่งชนบทมากกว่า หรือในที่ที่ขาดแคลนมากกว่า ก็จะได้รับเงินจากภาครัฐมากกว่าคนที่อยู่ในเขตเมือง แต่ว่าในไทยมันยังไม่ได้ทำตรงนี้ เพราะส่วนหนึ่งต้องใช้ทรัพยากรเยอะเหมือนกัน ต้องใช้ฐานข้อมูลว่าใครเป็นเด็กที่มาจากครอบครัวระดับไหน ซึ่งของไทยตอนนี้ยังทำไม่ได้ทั้งระบบทั้งประเทศ” ดร.ภูมิศรัณย์ ฝากทิ้งท้าย
นอกจากเรื่องการใช้จ่ายงบประมาณที่ต้องปรับเปลี่ยนแล้ว งานวิจัยฉบับนี้ยังมีประเด็นอื่นๆ ที่น่าสนใจ เช่น ภาคธุรกิจที่ทำกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) บริจาคเงินเพื่อการศึกษาเพียง 1 พันล้านบาทต่อปีเท่านั้น เช่นเดียวกับองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) แม้จะบริจาคเงินเพื่อการศึกษาค่อนข้างสูง คือราว 5 พันล้านบาทต่อปี แต่หากเทียบกับงบประมาณทั้งหมดที่องค์กรเหล่านี้มีแล้ว พบว่าใช้ไปเพียงร้อยละ 6.5 เท่านั้น หรือการกระจายอำนาจทางการศึกษา ให้แต่ละโรงเรียนมีอิสระในการบริหาร ส่วนภาครัฐส่วนกลางทำหน้าที่เพียงควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐาน ฯลฯ
บางทีเราอาจต้องมา “คิด” และ “ทำ” กันใหม่..หากต้องการแก้ไขปัญหาการศึกษาให้ได้ตรงจุด!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี