สายฝนเดือนหกที่โปรยปรายลงมา ในมุมของคนเมืองมองว่านี่คือ “น้ำส่วนเกิน” ที่สร้างปัญหา “รถติด-น้ำท่วม” จนกรุงเทพมหานครต้องเร่งเตรียมพร้อมรับมือผลักดันออกไป แต่ในมุมของ “เกษตรกร” นี่อาจเป็นดั่ง “น้ำทิพย์” ชโลมใจ เพราะชาวไร่ชาวนาหลายพื้นที่กำลังประสบภาวะ “ภัยแล้ง” พื้นที่การเกษตรหลายจังหวัดถูกภาวะ “แล้งน้ำ” เล่นงาน เกิดความเสียหายขยายวงกว้างขึ้น
ย่ำแย่ไปกว่านั้น มีการวิเคราะห์จากนักวิชาการว่าภาวะเช่นนี้จะยืดเยื้อยาวนาน ลากยาวไปถึง 2559 ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากปรากฏการณ์.....
“เอลนีโญ”!!!
สำหรับ เอลนีโญ เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างการหมุนเวียนของกระแสอากาศกับกระแสน้ำในมหาสมุทร มักเกิดขึ้นช่วงเดือนธันวาคม ไม่ได้เกิดขึ้นทุกปี แต่ละครั้งอาจกินเวลา 2-3 เดือน หรือนานกว่า เมื่อเกิด เอลนีโญ ปริมาณฝนของไทยมักมีค่าต่ำกว่าปกติ เนื่องจากพายุเปลี่ยนทิศทาง จากเดิมที่ก่อตัวจากมหาสมุทรแปซิฟิกด้านตะวันออกของหมู่เกาะฟิลิปปินส์ และเคลื่อนเข้าไทย 3-4 ลูกต่อปี กลายเป็นขึ้นเหนือเข้าสู่ทะเลจีนใต้ ทำให้ไทยและประเทศแถบอินโดจีน “แห้งแล้ง”
“สิ่งที่ต้องกลัวในปีนี้ คือ ภัยแล้งอาจกินเวลานานหลายปี และคาดว่าฝนจะหยุดตกช่วงกลางเดือนกันยายนนี้ เป็นต้นไป ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจาก เอลนีโญ ที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งไทยจะต้องอยู่กับสถานการณ์แล้งแบบนี้ไปอีก 2-4 ปี ขึ้นอยู่กับว่าจะเป็น เอลนีโญ ลากสั้นหรือยาว” รศ.ดร.เสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและภัยพิบัติ มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าว
รศ.ดร.เสรี กล่าวด้วยว่า การคาดการณ์ปรากฏการณ์ เอลนีโญ นั้น เพื่อความแม่นยำจะคำนวณไว้เพียง 2 ปี ดังนั้นขณะนี้ยังไม่สามารถรู้ได้เลยว่า เอลนีโญ จะอยู่แค่ปีหน้า หรือนานกว่านั้น จนถึง 4 ปี ซึ่งหมายถึงความแห้งแล้งที่ยาวนาน ซึ่งทางเดียวที่จะรักษาน้ำดื่ม-กินให้ประชาชนอย่างเพียงพอ คือ ต้องเริ่มลดปริมาณการใช้น้ำตั้งแต่ฤดูฝนนี้ทันที โดยรัฐต้องให้งดการปลูกข้าวนาปีทันที ซึ่งวันนี้ยังไม่ลงมือเพาะปลูกจำนวน 4 ล้านไร่ ไม่ใช่แค่บอกให้เกษตรกรเลื่อนปลูกออกไปเท่านั้น เพราะการงดปลูกจะลดการใช้น้ำได้ราว 5,000 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) เพียงพอสำหรับใช้ไปตลอดหน้าแล้ง 6 เดือนข้างหน้า
ขณะที่ ดร.ธนวัฒน์ จารุพงษ์สกุล อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยออกมาวิเคราะห์ว่า สถานการณ์ภัยแล้งขณะนี้เป็นปรากฏการณ์ เอลนีโญ และคาดว่าจะยืดเยื้อต่อเนื่องไปถึงปี 2559 โดยจากแบบจำลองคาดการณ์ว่าจากนี้ไปอีก 6 เดือน คือ ประมาณปลายปี 2558 ประเทศไทย รวมถึงชาติในอาเซียนจะประสบภาวะ เอลนีโญ ที่ค่อนข้างรุนแรง ทำให้ฝนที่จะได้จากลมมรุสมตะวันตกเฉียงใต้น้อยลง ซึ่งจะมีปัญหาเพราะปัจจุบันเขื่อนทุกเขื่อนในไทยมี “น้ำต้นทุน” น้อยมาก การคาดหวังว่าจะได้น้ำจากฤดูฝนเพื่อเติมลงเหนือเขื่อนคงยาก
เขา บอกด้วยว่า การรับมือกับภัยแล้งนั้น ไทยต้อง “มองข้ามช็อต” ไปถึงเดือนมีนาคม-เมษายน ปี 2559 เพราะน่าจะเกิดภาวะแล้งแน่นอน แต่จะมากน้อยอยู่ที่น้ำที่จะเติมโดยไต้ฝุ่นของปีนี้ ถ้า 2 เดือนหลังจากนี้ไม่มีพายุเข้ามาเติมน้ำในเขื่อนคง “แล้งสุดๆ” ซึ่งการคาดหวังจะได้น้ำจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มาเติมใส่เขื่อนที่กำลังแห้งคงหวังได้ แต่ปริมาณคง “น้อยมากๆ”
“เอลนีโญ” นอกจากจะทำให้ไทยเกิดภาวะ “แล้งกลางฝน” แล้ว สิ่งที่ต้อง “เฝ้าระวัง” เพราะอาจกลายเป็น “ภัยแทรกซ้อน” ตามมา คือ “ซูเปอร์ไต้ฝุ่น”!!!
ดร.ธนวัฒน์ ให้ข้อมูลว่า เอลนีโญ จะส่งผลให้แถบแปซิฟิกตะวันตก มีพายุมากขึ้นจาก 4 เป็น 6-7 ลูก และมีภาวะเสี่ยงต่อการเป็น “ซูเปอร์ไต้ฝุ่น” ซึ่งแม้จะช่วยเติมน้ำในเขื่อนได้ แต่ถ้าไม่ป้องกันอาจนำมาซึ่งความเสียหายใหญ่หลวง เพราะ เอลนีโญ จะทำให้น้ำในอ่าวไทยเย็นกว่าปีก่อนๆ โดยเฉพาะเดือนตุลาคม-มกราคม ซึ่งอาจทำให้เกิดพายุที่มีศูนย์กลางบริเวณอ่าวไทยได้ แม้จะยากก็ตามที
“นอกจากภัยแล้งแล้ว สิ่งที่เรากลัว คือ พายุหลังจากเดือนตุลาคมที่อาจเกิดขึ้นในอ่าวไทย ซึ่งจะทำให้ไทยได้รับความเสียหายหนัก เพราะไม่มีประเทศเพื่อนบ้านเป็นเกราะกำบัง พายุจะเคลื่อนเข้าสู่ไทยโดยตรง คล้ายพายุเกย์ ปี 2532 หรือพายุลินดา ปี 2540 ซึ่งเกิดจากปรากฏการณ์ เอลนีโญ” ดร.ธนวัฒน์ กล่าว
แน่นอนว่า ณ เวลานี้ ไทยไม่อาจจะหลีกเลี่ยงความเสียหายจากภัยแล้งที่เกิดจาก เอลนีโญ ได้ การระดมสรรพกำลังในทุกด้านเพื่อการรับมือ จึงเป็นความจำเป็นเร่งด่วนของทุกฝ่าย.....
นายชวลิต ชูขจร ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ปัจจุบันสถานการณ์น้ำต้นทุนมีน้อยและค่อนข้างน่าเป็นห่วง เนื่องจากฝนตกล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็น และมีปริมาณฝนต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปกติทั้งในภาคเหนือและภาคกลาง ทำให้ 4 เขื่อนหลักเหลือน้ำที่ใช้ได้ไม่ถึง 20 วัน ซึ่งกระทรวงเกษตรฯได้พยายามบริหารจัดการน้ำ โดยกรมชลประทานลดการปล่อยน้ำจากวันละ 60 ล้าน ลบ.ม. เหลือวันละ 30-35 ล้าน ลบ.ม. , ขอความร่วมมือเกษตรกรที่ยังไม่ได้ปลูกข้าวประมาณ 6 ล้านไร่ ให้ “ชะลอ” การเพาะปลูกออกไปก่อน เพื่อไม่ให้ข้าวที่ปลูกได้รับผลกระทบแล้งหรือฝนทิ้งช่วง นอกจากนี้ยังเร่งปฏิบัติการ “ฝนหลวง” เป็นต้น
ด้าน นายวราวุธ ขันติยานันท์ อธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร กล่าวว่า สิ่งที่กังวล คือ “เอลนีโญ เอฟเฟกต์” จะหมดไปเมื่อไร ซึ่งจากข้อมูลกรมอุตุนิยมวิทยา และการพยากรณ์ทั่วโลกยังมองไม่เห็นข่าวดี ส่วนใหญ่มองว่าอาจยืดยาวไปถึงสิ้นปี 2558 ภาวะเช่นนี้จะคล้ายปี 2542 ที่ไทยขาดแคลนน้ำอย่างหนักจนเรียกว่ายุค “ข้าวยาก หมากแพง” ในส่วนของปฏิบัติการ “ฝนหลวง” ยืนยันว่าถ้าเราขึ้นบินปฏิบัติการได้ ฝนก็ตกทุกวัน แต่ 1 หน่วยปฏิบัติการ ดูแลได้แค่ 3 จังหวัด จากที่รับผิดชอบ 7-8 จังหวัด จึงต้องหมุนเวียนกันไปให้พอ “บรรเทา” ปัญหาความเดือดร้อน
“กรมอุตุนิยมวิทยาคาดว่าร่องมรสุมจะเคลื่อนกลับมาช่วงปลายเดือนกรกฎาคม ซึ่งต้องมาลุ้นว่า เอลนีโญ จะทำให้ร่องมรสุมขากลับมีฝนน้อยหรือไม่ ถ้าไม่กระทบปลายเดือนกรกฎาคม น้ำจะมีมากขึ้น หลังจากนั้นจะทำนาปีได้” อธิบดีกรมฝนหลวง กล่าว
“เอลนีโญ” ที่หลายฝ่ายคาดการณ์ดูจะรุนแรงกว่าปีที่ผ่านๆมา ซึ่งเป็นหน้าที่หลักของผู้ที่เกี่ยวข้องที่จะกำหนดมาตรการรับมือวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น ขณะที่ผู้ใช้น้ำหลักอย่างเกษตรกร และประชาชนต้องรู้จัก “ประหยัด” และ “เก็บกัก” น้ำฝนที่ตกลงมา เพื่อให้มีน้ำไว้ใช้ในวันต่อไป ไม่ใช่ปล่อยให้เป็น “น้ำส่วนเกิน”
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี