ตะกั่ว..แร่ที่ครั้งหนึ่งนำมาใช้กับอุตสาหกรรมหลายประเภท แต่ในเวลาต่อมาก็พบว่าเป็นอันตรายต่อมนุษย์ เช่น ทำลายระบบไหลเวียนของเลือด เป็นสาเหตุของภาวะโลหิตจาง และหากเป็นเด็กจะทำให้ระดับสติปัญญา (ไอคิว) ลดลงด้วย ทำให้มีการเลิกใช้สารตะกั่วในผลิตภัณฑ์บางประเภท เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง แต่ในบางอุตสาหกรรมในบางประเทศ เช่น ผลิตภัณฑ์สี สำหรับทาอาคารและเครื่องใช้ต่างๆ ยังพบว่ามีการผสมสารตะกั่วอยู่ เนื่องจากสารตะกั่วมีสรรพคุณช่วยให้สีออกมาสดใส และติดทนนาน
ข้อมูลจาก เพ็ญโฉม แซ่ตั้ง ผู้อำนวยการมูลนิธิบูรณะนิเวศ ที่เปิดเผยในงานเสวนา “สีปลอดสารตะกั่วใกล้เป็นจริง” 15 มิ.ย. 2558 ณ ห้องประชุม Dipak C. jain อาคารศศนิเวศ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพฯ ระบุว่า จากตัวอย่างสีน้ำมันทาอาคาร 100 ตัวอย่าง รวม 56 ยี่ห้อ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ของ 35 บริษัท จำแนกเป็นกลุ่มโทนสีขาว 41 ตัวอย่าง กลุ่มโทนสีสด 59 ตัวอย่าง เปรียบเทียบกับผลการสำรวจตลาดสีเมื่อปี 2556
พบว่าในปี 2558 ผลิตภัณฑ์สีในกลุ่มโทนสีขาว มีผลิตภัณฑ์สีปลอดสารตะกั่วเพิ่มขึ้นร้อยละ 68 ขณะที่ในปี 2556 มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 29 และผลิตภัณฑ์สีกลุ่มโทนสีสด มีสีปลอดสารตะกั่วเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 24 จากที่ในปี 2556 มีเพียงร้อยละ 2 นอกจากนี้ ยังพบว่ามีผู้ผลิตสีจำนวน 1 ใน 3 หรือ 11 บริษัทใน 35 บริษัทที่ลดใช้สารตะกั่วในการผลิตสีแล้ว และมีบางรายเลิกใช้สารตะกั่วในกลุ่มสีขาวและสีสดทุกยี่ห้อ
ถือว่ามีแนวโน้ม “ดีขึ้น” ผู้ประกอบการตอบรับแนวคิด “สีปลอดภัย” กันมากขึ้น!!!
รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเพื่อสร้างเสริมความปลอดภัยและป้องกันการบาดเจ็บในเด็ก โรงพยาบาลรามาธิบดี ในฐานะผู้ผลักดันเรื่องนี้มาตลอด กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย ขณะนี้เหลือแต่เพียงรอกฎหมายที่กำหนดให้ผลิตภัณฑ์สีต้องแสดงฉลากปริมาณสารตะกั่วที่ผสมในผลิตภัณฑ์ประกาศใช้ ก็จะทำให้ผู้บริโภคได้ทราบข้อมูล เพื่อการตัดสินใจมากขึ้น
“กฎหมายตอนนี้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม(สมอ.) ออกมาแล้ว อยู่ระหว่างการประกาศ ขณะเดียวกัน สคบ. ก็ร่างแล้วเหมือนกัน ก็อยู่ระหว่างการประกาศ แล้วก็มีการกำหนดสลากว่าสีกระป๋องไหนมีสารตะกั่ว ให้ระบุไปว่ามีสารตะกั่วที่อาจจะมีอันตรายต่อผู้ใช้ได้ และก็มีการระบุปริมาณสารตะกั่วด้วย แต่อาจจะมีสีหรือสารตะกั่วในกรณีใดก็ตามแต่ว่าต้องไม่เกินมาตรฐาน อาจจะให้ใช้ได้ในอุปกรณ์เฉพาะ แต่ควรระบุข้างกระป๋องว่ามีสารตะกั่วที่เป็นอันตรายแก่ผู้ใช้และไม่ควรเกินปริมาณ”นพ.อดิศักดิ์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม แม้กฎหมายจะออกมาบังคับใช้ได้จริง แต่นั่นเป็นเพียงแค่ “ก้าวแรก” เท่านั้น ยังมีงานใหญ่กว่านั่นคือการ “เยียวยา” สถานที่ที่มีการทาสีก่อนกฎหมายออก ตั้งแต่โรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก สนามเด็กเล่น ไปจนถึงบ้านเรือนของประชาชน ประเด็นนี้ นพ.อดิศักดิ์ ยกตัวอย่างในสหรัฐอเมริกา ที่นั่นมีโครงการ“รีเพนท์” (Repaint) หรือการลอกสีเก่าและทาสีใหม่สำหรับอาคารที่สร้างก่อนปี 1972 (พ.ศ.2515) อันเป็นปีที่ประกาศยกเลิกการใช้สีผสมสารตะกั่ว โดยรัฐบาลจะช่วยอุดหนุนงบประมาณส่วนหนึ่งร่วมกับฝ่ายเจ้าของอาคารในช่วงระยะเปลี่ยนผ่าน
“เรื่องนี้รัฐบาลเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายให้ เจาะเลือดเพื่อตรวจสารในเลือด เมื่อก่อนห้ามเกินกว่า 10 เดี๋ยวนี้ห้ามเกินกว่า 5 หากเกินก็จะมีการติดตามกี่ครั้ง แล้วถ้ายังสูงอยู่ก็จะไปตรวจสอบที่บ้าน เมื่อบ้านพบว่ามีสารตะกั่วสูง รัฐบาลก็จะเข้าไปร่วมปรับปรุง ซึ่งในทางด้านวิศวกรรมหรือสถาปนิก ต้องมีการอบรมทีมที่จะไปทำการเปลี่ยนสีได้ต้องมีการอบรมโดยเฉพาะ การที่จะไปขูดทิ้งไม่ให้ในชุมชนเขาต้องมีสารตะกั่วสูง” นพ.อดิศักดิ์ ระบุ
คนอีกกลุ่มที่เสี่ยง คือ “ช่างทาสี” ไม่ว่าจะเป็นตนเองที่เสี่ยงรับสารตะกั่วจากสีที่ใช้ หรือกระบวนการล้างสี-ลอกสีที่ไม่ถูกต้อง จนอาจทำให้สารพิษรั่วไหลออกไปสู่ชุมชนรอบๆ ซึ่ง ชาญณรงค์ ไวพจน์ ประธานอนุกรรมการด้านวิศวกรรมความปลอดภัย วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) กล่าวว่า การทาสีและลอกสีนั้นถือเป็นทักษะทางวิชาชีพที่ต้องได้รับการฝึกอบรม ต้องมีความรู้ความเข้าใจจึงจะทำได้อย่างปลอดภัย
“การลอกสีอย่างที่บอกว่า ปกติแล้วถามว่าใครลอกถ้าลอกเองอันตรายถ้าจ้างเขาก็เบาหน่อย แต่ก็มีอีกวิธีในการลอก คือผู้รู้จะต้องประเมินก่อนแต่ถ้าไม่รู้แล้วทำเลยก็ไม่ควร ถ้าเป็นช่างหรือวิศวกรจะบอกว่านี้เป็นสีน้ำ สีทาบ้าน สีอะครีลิกจะง่ายหน่อยนะ ยิ่งเป็นสีน้ำมันติดแล้วออกยากต้องใช้เทคนิคนิดนึง วิธีก็คือให้ความชื้นแล้วเครื่องดูด หรือจะใจเย็นๆ ขูดค่อยๆ แล้วให้ตกลงพื้น แล้วเราจะต้องใส่อุปกรณ์ป้องกัน ได้คุยกันเกี่ยวกับเทคนิคในเบื้องต้นเนี่ยว่า ทุกวันก็ใช้แบบชาวบ้าน แต่ถ้าหากว่าเราจะให้เขาใช้เครื่องมือที่สูงๆ เนี่ย ค่าแรงก็จะแพง
ถ้าเป็นเรื่องสีในตอนนี้คงให้ความสำคัญกับสีน้ำมันก่อนเป็นอย่างแรก ควรมีความระมัดระวังเรื่องการใช้สีควรมีการสวมอุปกรณ์เพื่อป้องกันสีตกใส่ร่างกายเพื่อไม่ให้เป็นอันตราย และอีกอย่าง ควรมีการประเมินอายุการใช้งานของสี ในเรื่องของช่างยังขาดเรื่องในงบประมาณในตอนนี้ จัดระดับประเภทช่างต่างๆ ใครเป็นช่างประเภทต่างๆ ก็ต้องมาสอบ หรือเข้ารับการอบรมเพื่อให้รู้แนวทาง บางบริษัท อาจจะมีช่างทาสีแต่ราคาอาจจะแพง แต่จะได้รับความปลอดภัย” ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมความปลอดภัยจาก วสท. กล่าว
ประเด็นสุดท้าย..ในระยะเปลี่ยนผ่าน ผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่น่ามีปัญหา แต่สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อมจะทำอย่างไร? ศาสตรเมธี ดร.สุปรีดิ์ วงศ์ดีพร้อม สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ให้ความเห็นว่า ภาครัฐในฐานะผู้ออกนโยบาย ควรเข้าไปช่วยประคับประคองให้ผู้ประกอบการกลุ่มนี้ สามารถปรับตัวในระยะเปลี่ยนผ่านด้วยเช่นกัน
“ในอุตสาหกรรมที่บริษัทใหญ่ๆ แล้วเขาจะมีการเปลี่ยนแล็บ เวลามีข้อมูลออกมา บริษัทเบอร์ 1 เบอร์ 2 เขาปฏิบัติ มันจะมีเบอร์ 3 เบอร์ 4 5 6 ที่ทำไมเขาถึงยังใช้ของที่มันที่ผิดกฎหมายและอันตรายอยู่ เพราะว่าพื้นฐานเขาไม่ถึง ต้นทุนการผลิตมันแพงการแข่งขันสู้ไม่ได้ ข้อเสนอของผมคือ ให้รัฐไปดูแลอุตสาหกรรมขนาดกลาง และขนาดย่อมที่เขายังอยู่ในอาชีพนี้ เมื่อประเทศห้าม แล้วเข้าไปช่วยเหลืออะไรเขาหรือเปล่า? ในฐานะที่เป็นสมาชิกสภาที่ปรึกษา อยากให้รัฐเข้ามาช่วยเหลือทุกภาคส่วนด้วย
จะให้เขาทำดีแล้วต้องสนับสนุน อะไรที่เขาขาดควรไปสนับสนุน สังคมก็จะอยู่ได้ การที่เราจะทำอะไรสักอย่าง ให้มันตอบโจทย์กับทุกกลุ่มให้ได้ประโยชน์เท่าเทียมกัน มันเป็นเรื่องยาก แต่ก็ไม่ได้จะปล่อยปละละเลย สิ่งที่ดีที่ผมคิดว่ามันต้องมีแนวทาง ในการอนุญาตครั้งแรกๆ ภาครัฐมันจะต้องมีความรู้เท่าทันในทุกๆเรื่อง ถ้าหากเกิดไปแล้วครั้งแรก ครั้งต่อไปจะยากกว่า ผมคิดว่าอีกไม่นานสีที่ปลอดสารตะกั่วคงจะมีให้เห็นในเร็ววันนี้” สมาชิกสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติรายนี้ ฝากทิ้งท้าย
ธัญญา อุตธรรมชัย
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี