“เพศที่ 3” หรือกลุ่มคนที่รักเพศเดียวกัน แม้ปัจจุบันสังคมไทยจะเปิดใจยอมรับมากขึ้นกว่าในอดีต แต่ก็ยังพบว่าอีกไม่น้อยยังมีความรู้สึกอคติกับคนกลุ่มนี้ ดังผลการสำรวจของศูนย์สำรวจความคิดเห็น สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้าโพลล์) หัวข้อ “สังคมไทยคิดอย่างไรกับเพศที่ 3“ เมื่อ 15-16 พ.ค. 2556 กับคำถามที่ว่ารับได้หรือไม่ หากมีเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานเป็นเพศที่ 3?
พบว่า แม้ร้อยละ 88.49 ของกลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่จะตอบว่ายอมรับได้ โดยให้เหตุผลว่าจะเป็นเพศใดไม่สำคัญ ขอแค่เป็นคนเก่ง-คนดีก็พอ แต่มีถึงร้อยละ 8.79 ที่ตอบว่ายอมรับไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ ส่งผลต่อภาพลักษณ์ขององค์กร และเมื่อถามต่อไปว่ารับได้หรือไม่หากสมาชิกในครอบครัวเป็นเพศที่ 3? จำนวนผู้ตอบว่ารับได้ ลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 77.56 ให้เหตุผลคล้ายกัน คือยอมรับว่าคนเราเลือกเกิดไม่ได้ แต่ขอให้เป็นคนดีก็พอ ขณะที่จำนวนผู้ตอบว่ารับไม่ได้ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 17.25 เหตุผลสำคัญคือผิดธรรมชาติและกลัวไม่มีทายาทสืบสกุล
จากโพลล์นี้ เห็นได้ชัดเจนว่า “ทัศนคติของคนในครอบครัว” มีผลต่อ “คุณภาพชีวิต” ของคนกลุ่มนี้มาก!!!
“สิ่งที่พ่อแม่ไม่ยอมรับเรื่องเพศที่ 3 เพราะพ่อแม่ไม่เข้าใจเรื่องเพศ เข้าใจแต่เพียงคนมีจู๋คือผู้ชาย คนมีจิ๋มคือผู้หญิง แล้วอะไรที่ผิดไปจากนี้คือผิดปกติ เพราะฉะนั้นการทำให้แม่มีความรู้ความเข้าใจเพิ่มขึ้น ให้คุยกันด้วยอารมณ์ บรรยากาศดีๆ เพื่อความเข้าใจมากขึ้น เกิดการยอมรับ เพราะฉะนั้นก็อธิบายเท่าที่จะทำได้ แต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน ก็ทำให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้”
พญ.จิราภรณ์ อรุณากูร อาจารย์ประจำภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี บอกเล่าถึงสิ่งที่พบจากการทำงานวิจัยว่าด้วยทัศนคติของครอบครัวเมื่อมีบุตรหลานเป็นคนรักเพศเดียวกัน ทำการสำรวจวัยรุ่นมัธยมจำนวน 3,000 คน จากโรงเรียน 5 แห่ง ในเขตกรุงเทพมหานคร พบว่าในจำนวนนี้ ร้อยละ 11 เป็นผู้ที่ยังไม่สามารถระบุได้ว่า “เพศวิถี” หรือแนวทางการใช้ชีวิตของตนเป็นแบบเพศใด ตรงหรือไม่ตรงกับ “เพศสภาพ” หรือสรีระทางกายแต่กำเนิดของตน
ซึ่งเมื่อสำรวจต่อไปในคนกลุ่มนี้ พบว่าครอบครัวที่ยอมรับได้ อยู่ที่ร้อยละ 50 และยอมรับไม่ได้อยู่ที่ร้อยละ 40 ถือว่า “ใกล้เคียงกันมากจนน่าเป็นห่วง” เพราะเมื่อสอบถามเชิงลึกไปยังเยาวชนที่ตอบว่าครอบครัวไม่ยอมรับ พบว่ามีปัญหาผลการเรียนไม่ดี มีการนับถือตัวเองที่ต่ำ มีอาการซึมเศร้าและบางรายมีแนวโน้มเสี่ยงต่อการ “ฆ่าตัวตาย”!!!
“พ่อแม่ต้องเข้าใจเรื่องเพศ เข้าใจว่าเพศมีความหลากหลาย เข้าใจว่าลูกไม่ได้เลือก พ่อแม่หลายคนคิดว่าทำไมลูกต้องเลือกแบบนี้? แต่เขาไม่ได้เลือก เขาแค่เลือกว่าจะเป็นอย่างไรจะใช้ชีวิตแบบไหน ให้กลับมามองถึงความรักที่ไม่มีเงื่อนไข หมอเชื่อว่าคนเรารักลูกไม่ว่าลูกจะเป็นเพศไหน เพราะมันรักตั้งแต่ยังไม่รู้เพศด้วยซ้ำ แต่บางที่เราอาจลืมเพราะเรากังวล เราโกรธและเราไม่ระวัง แค่แก้ไขความเข้าใจผิดต่อกัน เพราะความหลากหลายทางเพศมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เรื่องเพศเป็นเรื่องไม่นิ่ง” พญ.จิราภรณ์ กล่าว
ประเด็นต่อมา..กับคำถามที่ว่า “คนเราจะรู้ว่าตนเองมีเพศวิถีเป็นแบบใดเมื่อไร?” อาจารย์แพทย์รายนี้ ให้ข้อมูลว่า บางคนอาจจะรู้ตั้งแต่อายุยังไม่กี่ขวบก็มี แต่โดยทั่วไปการที่ใครจะเป็นเกย์ (ชายรักชาย) เลสเบี้ยน (หญิงรักหญิง) หรือไบเซ็กชวล (กลุ่มคนที่รักได้ทั้งสองเพศ) จะมารู้อย่างชัดเจนเมื่อเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ซึ่งจะเป็นช่วงวัยที่มีอารมณ์รู้สึกชอบหรือสนใจเพศตรงข้าม ดังนั้นจึงอยากให้ทั้งสองฝ่ายปรับตัวเข้าหากัน หรือควรมีคนกลางเข้าไปสร้างความเข้าใจ
“ยังไงก็อยากให้เป็นตัวของตัวเอง แต่ว่าต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ก็ปรับตัวเราเท่าที่จะอยู่ได้ในครอบครัว ถ้าสมมุติว่ารับไม่ได้เลยกับการแสดงออกอย่างเต็มที่ที่บ้าน อาจจะหลีกเลี่ยงการแสดงออก ในกรณีที่แสดงออกไม่ได้ และหมอแนะนำว่าควรหาคนกลางในการไกล่เกลี่ยแทนพ่อแม่ เพราะด้วยความโกรธอาจจะทำให้คุยยาก คนกลางก็ได้แก่แพทย์ หรือผู้รู้ที่มีข้อมูลหลักฐานพวกนี้
ปัจจุบันยังไม่มีสาเหตุว่าอะไรทำให้เกิดความหลากหลายทางเพศ? แต่ผลการวิจัยบอกว่าเข้ามาทางชีวภาพ (พันธุกรรม) มากขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่ไม่มีทางวิทยาศาสตร์เลยคือการเลี้ยงดูที่ผิดปกติ การทารุณ การทุบตีหรือการเลี้ยงดูมาแบบไหนทำให้เกิดความผิดปกติทางเพศ” พญ.จิราภรณ์ ระบุ
ด้าน นายปรัชญากรณ์ ชูจันทร์ นักศึกษาวัย 21 ปี บอกเล่าถึงประสบการณ์ของตนว่า “ไม่ง่าย” ในการใช้ชีวิตกับครอบครัว โดยเฉพาะกับ “ผู้เป็นพ่อ” ที่เมื่อได้ลูกชายแล้วก็อยากให้เติบโตมาเป็น“แมนเต็มร้อย” แต่เมื่อลูกเกิดมาแล้วท่าทางตุ้งติ้ง เมื่อลูกจะทำอะไรก็มักจะโดนจับผิด โดนสบประมาทไว้ก่อน
เรียกว่า “ต้องพยายามกว่าคนปกติหลายเท่าตัว” กว่าครอบครัวจะให้การยอมรับ!!!
“ถ้าถามว่าเป็นยังไง? มันแล้วแต่ครอบครัวนะ แต่ส่วนเรานี่คือ เขาจะมองข้อผิดพลาดเยอะกว่าข้อดีหน่อย ต้องเป็นเรื่องที่ดีจริงๆ เขาถึงจะยกย่องจะเข้าตาเขา คือเอาง่ายๆ ว่าทำไรให้เข้าตาเขามันจะยากกว่า คนเป็นตุ๊ดจะมีปัญหากับพ่อบ่อย เพราะคนเป็นพ่อคือคนที่คาดหวังที่สุดว่าลูกเกิดมาจะเป็นชายแท้แน่นอน ทีนี้พอมารู้ว่าลูกเป็นตุ๊ด ก็จะเพ่งเล็ง จะไม่เชื่อเนื้อไว้ใจให้ทำไรได้ง่ายๆ ทำนองนี้
อยากให้เขาเข้าใจเราและคิดแค่ว่าเราเกิดมาเป็นอะไรก็ตามแต่ สุดท้ายเราเป็นคนดีมันก็น่าจะพอแล้ว มองเห็นมุมดีดีของลูก ไม่ใช่มองแต่แง่ลบ มีอคติกับลูก อยากให้ผู้ใหญ่เห็นว่าความจริงแล้วเพศนี้ มันดีมันหลากหลายมากกว่าเพศทั่วไป เพศมักเกิดมากับพรสวรรค์นะ และเราคิดว่าผู้ใหญ่จะชอบคิดว่าจะใช้ชีวิตยังไง เราตอบเลยว่าการใช้ชีวิตในสังคมสมัยนี้มันรับได้กันหมดแล้วกับสถานภาพเพศนี้ แต่ว่าครอบครัวกล้าพอไหมที่จะเปิดใจยอมรับในสิ่งที่มันเกิดขึ้น ยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็น แล้วสนับสนุนในสิ่งที่เขาชอบ ผลักดันให้เขามีความสุข”ปรัชญากรณ์ ฝากทิ้งท้าย
ความหลากหลายทางเพศเป็นเรื่องที่ทุกส่วนควรทำความเข้าใจ และเปิดใจยอมรับกับเพศสภาพของกลุ่มคนเหล่านี้ ให้โอกาสกับผู้ที่มีความหลากหลายทางเพศได้แสดงออกและช่วยกันสนับสนุนในสิ่งที่ถูกต้อง ดีกว่าการตั้งแง่รังเกียจกีดกัน ทั้งที่พวกเขาก็มีความเป็นมนุษย์ไม่ต่างจากชายหญิงปกติทั่วไป
เพราะไม่ว่าจะเป็นเพศใด รักต่างเพศหรือรักเพศเดียวกัน ขอแค่เป็น “คนเก่ง-คนดี” ก็เพียงพอแล้วไม่ใช่หรือ?
ชนัดดา บุญครอง
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี