หากถามว่าทรัพย์สินใดสำคัญที่สุด เชื่อเหลือเกินว่าเกือบทุกคนคงตอบว่า “บ้าน” หรือที่อยู่อาศัย เพราะเป็นที่พักทั้งของตนเองและครอบครัว เห็นได้จากหลายคนที่อยู่ในภาวะวิกฤติต้องขายทรัพย์สินมาใช้จ่าย ที่อยู่อาศัยนั้นคือตัวเลือกสุดท้ายเสมอ ดังคำกล่าวที่ว่า “อย่างน้อยเราก็ยังมีที่ซุกหัวนอน”
เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครก็ต้องอยากได้บ้านที่คุณภาพดีสมกับที่จ่ายสตางค์ไป มิใช่บ้านที่ “ไม่ได้มาตรฐาน” แถมยังเสี่ยงอันตราย ดังที่ปรากฏในข่าวเป็นระยะๆ ว่าโครงการบ้านจัดสรรบ้าง อาคารชุดบ้าง มีการผุพังแตกร้าว หรือพื้นทรุด ทั้งที่เป็นอาคารใหม่และผู้ซื้อเพิ่งเข้าอยู่อาศัยได้ไม่นาน
นายอำพล วงศ์ศิริ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยกับ “สกู๊ปหน้า 5” ว่าที่ผ่านมา สคบ. ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชน เกี่ยวกับโครงการที่อยู่อาศัยไม่ได้มาตรฐานเป็นจำนวนมาก เช่น ในปี 2557 เพียงปีเดียว พบว่ามีถึง 1,628 เรื่อง ขณะที่ปี 2558 เพียงครึ่งปีแรก พบว่าร้องเรียนเข้ามาแล้วถึง 978 เรื่อง ส่วนใหญ่
เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รองลงมาเป็นเมืองขนาดใหญ่อื่นๆ เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น
และเป็นเรื่องที่ถูกร้องเรียนเข้ามายัง สคบ. มากที่สุด!!!
“ส่วนใหญ่ที่ร้องเรียนเข้ามา จะเป็นทรุดบ้าง ร้าวบ้าง รองลงมาคือเรื่องไม่เป็นไปตามสัญญา เช่น บอกว่าจะแล้วเสร็จในเดือนนี้เดือนนั้น แต่พอถึงเวลาก็ส่งมอบไม่ได้เพราะสร้างไม่เสร็จ” เลขาธิการ สคบ. กล่าว
คำถามต่อไป..อะไรคือสาเหตุของปัญหานี้? ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ นายกวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) อธิบายว่า พื้นที่เสี่ยงมักจะเป็นจุดที่เคยเป็นท้องนาหรือหนองน้ำมาก่อน เมื่อจะก่อสร้างอาคารก็จะมีการนำวัสดุมาถม แต่เมื่อถมแล้วก็ต้องทิ้งระยะเวลาไว้สักพักหนึ่ง เพื่อให้วัสดุที่ถมลงไปนั้นทรุดตัวเองลงไปก่อนจนพื้นดินนั้นคงที่ มีความแน่นดีแล้วจึงค่อยเริ่มการก่อสร้าง ส่วนพื้นที่ใดจะใช้เวลาเท่าใดนั้น ต้องอยู่ที่สภาพพื้นที่แต่ละแห่งซึ่งไม่มีตัวเลขตายตัว โดยเป็นหน้าที่ของวิศวกรผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบและคำนวณ
การเร่งก่อสร้างโดยไม่รอเวลาดังกล่าว จึงเป็นสาเหตุให้เกิดการทรุดตัวของสิ่งก่อสร้างได้!!!
“ก่อนที่ท่านจะทำโครงการ ที่ดินที่ท่านซื้อมา ถ้าเป็นหนอง บึง หรือที่นา ท่านก็ต้องมีการถม ในการถมนั้นต้องรอการทรุดตัว เพราะน้ำหนักดินที่ถมนั้นจะไปเร่งการทรุดตัวให้ดินแน่นขึ้น ต้องใช้ระยะเวลาอาจจะหลายปี ขึ้นอยู่กับพื้นฐานดินเดิม แล้วขอย้ำนะครับ การคำนวณการทรุดตัว ทางวิศวกรรมสามารถทำได้ ถ้าท่านรู้ว่าพื้นฐานดินที่ท่านจะทำโครงการเป็นอย่างไร ควรมีการคำนวณโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ ท่านจะได้เลือกเสาเข็ม เลือกวิธีเร่งการทรุดตัว วิธีการบดอัดให้เหมาะสม ทำให้การทรุดตัวนั้นเกิดขึ้นน้อย และสร้างความเสียหายน้อย”
นายก วสท. กล่าว พร้อมยกตัวอย่างโครงการขนาดใหญ่ที่ถมทะเลบ้าง ถมหนองน้ำบ้างเพื่อก่อสร้าง เช่น สนามบินสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการ ที่เดิมเป็นหนองน้ำชื่อ “หนองงูเห่า” หรือสนามบินที่นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น หรือสนามบินที่เกาะฮ่องกง เป็นต้น
เมื่อถามต่อไปว่าประชาชนจะรู้ได้อย่างไรว่าโครงการใดมีคุณภาพ? ศ.ดร.สุชัชวีร์ ยอมรับว่า เป็นเรื่องยากที่ผู้ซื้ออาคาร ทั้งที่เป็นบุคคลทั่วไปและวิศวกรจะทราบได้ เพราะมองเห็นแต่เพียงรูปลักษณ์ภายนอกของโครงการเท่านั้น ไม่สามารถดูได้ถึงโครงสร้างภายใน จึงมีคำแนะนำว่า
1.เมื่อจะซื้อบ้านทุกครั้ง ให้ขอดูแบบก่อสร้างบ้านจากเจ้าของโครงการด้วย ซึ่งเจ้าของโครงการก็ควรจะอนุญาต เพราะเป็นสิทธิของผู้บริโภคที่จะได้รับทราบข้อมูลเพียงพอก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการ 2.สำรวจพื้นที่รอบๆ โครงการ ว่าเป็นพื้นที่อะไร? หากเป็นที่นาหรือหนองน้ำ ก็ให้พึงระลึกไว้ก่อนว่านี่คือพื้นที่เสี่ยง และ 3.ตรวจสอบประกัน ว่าอาคารที่จะซื้อมีระยะเวลารับประกันนานเท่าใด
“ผมว่าบ้านหลังนึงคนต้องเก็บเงินทั้งชีวิตนะครับ เราซื้อบ้านแล้วก็อยากอยู่อย่างสบาย ราคาก็ไม่ค่อยจะถูก ก็ต้องเอาใจเขามาใส่ใจเรา ท่านต้องให้ข้อมูลที่เพียงพอต่อการตัดสินใจ ถ้าท่านให้ข้อมูลแล้วเขายังซื้อ ก็ถือว่าท่านได้ทำหน้าที่โดยครบถ้วน แต่ถ้าท่านไม่ให้ข้อมูลเขาแล้วเกิดปัญหาอะไรต่างๆ ผมเชื่อว่าท่านต้องมีส่วนรับผิดชอบไม่มากก็น้อย” นายก วสท. ฝากถึงเจ้าของโครงการ
อีกด้านหนึ่ง นายอธิป พีชานนท์ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ฝากถึงผู้เลือกซื้อที่อยู่อาศัย ให้อ่านสัญญา
อย่างละเอียด เช่น อายุการรับประกันโครงสร้างของบ้าน รวมถึงไปดูโครงการ ณ สถานที่จริงว่าเรียบร้อยดีแล้วหรือไม่? และหากมีข้อสงสัยให้ซักถามผู้ขายโครงการให้เรียบร้อยก่อนตัดสินใจซื้อ
“ดูสัญญาให้ชัดเจนครับ พวกนี้เป็นสัญญาที่ราชการกำหนดให้มี ถ้าดูแล้วบางข้อไม่เข้าใจหรือไม่ถูกต้องก็ให้ถาม
เพราะมันจะมีการรับประกันอยู่ในนั้น แล้วก็ดูสภาพ ณ วันที่เราไปซื้อ ว่ามีสภาพยังไง ถ้ามันมีสภาพที่ไม่เรียบร้อย เราก็ควรจะต้องบอกเขาไปว่าต้องปรับปรุงแก้ไขอะไรก็ว่าไป” นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ฝากทิ้งท้าย
ข้อมูลจาก สำนักส่งเสริมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กรมที่ดิน พบว่า จำนวนผู้ขอ ใบอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดิน ในปี 2553 มีผู้ได้รับอนุญาตทั้งสิ้น 585 ราย, ปี 2554 จำนวน 775 ราย, ปี 2555 จำนวน 722 ราย, ปี 2556 จำนวน 900 ราย และปี 2557 จำนวน 964 ราย ชี้ให้เห็นว่าหลายปีมานี้ มีโครงการก่อสร้างอาคารที่พักอาศัยรูปแบบต่างๆ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากอย่างต่อเนื่อง
แต่ขณะเดียวกัน จำนวนเรื่องร้องเรียนว่าด้วยคุณภาพของโครงการเหล่านี้ผ่าน สคบ. ก็เพิ่มสูงขึ้นไปด้วย จึงเกิดคำถามตามมาว่า โครงการที่ผุดขึ้นเหล่านี้มีความปลอดภัยและได้มาตรฐาน
แค่ไหน? รวมถึงเสียงสะท้อนจากผู้อยู่อาศัยในบางโครงการ ยังระบุด้วยว่าการขอดูแบบก่อสร้างก็ทำได้ยาก เพราะเจ้าของโครงการมักอ้างว่าเป็นเรื่องของ “ลิขสิทธิ์-ความลับทางการค้า” อีกทั้งยังไม่มีกฎหมายกำหนดให้ต้องแสดงแบบก่อสร้างอาคารแก่ผู้ซื้อด้วย
ดังนั้นสิ่งที่หวังได้อย่างเดียวตอนนี้...จึงมีแค่
“จรรยาบรรณ” ของเจ้าของโครงการเท่านั้น!!!
“เอาใจเขาใส่ใจเรา” บ้างก็คงดี..ลองคิดว่าถ้าคนที่ท่านรักไปซื้ออาคารแล้วเจอแบบนี้ ท่านจะรู้สึกอย่างไร?
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี