“ขึ้นโรงขึ้นศาลถือเป็นลางร้าย”
“คุกมีไว้ขังคนจน”
“เศรษฐีนอนบ้าน..ขอทานนอนห้องขัง”
ประโยคข้างต้นเหล่านี้เชื่อเหลือเกินว่าคงคุ้นหูคนไทยอย่างเราๆ ท่านๆ เป็นอย่างดี สะท้อนให้เห็นถึงมุมมองในแง่ลบของ กระบวนการยุติธรรม ซึ่งในความเป็นจริงก็ไม่ผิดที่คนจำนวนไม่น้อยจะคิดเช่นนั้น เพราะ “ความเหลื่อมล้ำ”ที่ปรากฏหลายประการ เห็นได้จากค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีความ ทั้งค่าทนาย ค่าเดินทาง ตลอดจนค่าธรรมเนียมอื่นๆ สำหรับประชาชนคนหาเช้ากินค่ำแล้วต้องถือว่า “หนักหนาสาหัส” เอาเรื่อง
ลำพังการตกเป็น “ผู้เสียหาย” ค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดีตามที่กล่าวมาข้างต้นก็มากอยู่แล้ว แต่หากกลายเป็น “ผู้ต้องหา” ก็จะยิ่งลำบากขึ้นอีกหลายเท่าตัว เพราะต้องหาหลักทรัพย์มาวางสำหรับยื่นคำร้องขอ “ประกันตัว”หรือการปล่อยตัวชั่วคราว ตรงนี้หากเป็นเศรษฐีเป็นนายทุนก็สามารถหาเงินหรือโฉนดที่ดินมาวางได้ เช่นเดียวกับข้าราชการหรือนักการเมือง ก็อาจใช้ตำแหน่งของตนให้ศาลตีราคาประกันได้ แต่กับตาสียายสา คนธรรมดาๆ ที่ไม่มีเงินทองหรือยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่อาจหาสิ่งใดๆ มาค้ำประกันได้ สุดท้ายก็ต้องถูกจองจำไว้ก่อนไปตามระเบียบ
ทว่าความโชคร้ายยังไม่จบไม่เพียงเท่านั้น..ด้วยขั้นตอนการยื่นขอประกันตัว ที่ผู้ยื่นขอต้องยื่นคำร้องพร้อมแนบหลักทรัพย์ ได้เป็นช่องทางให้มีการ “หาผลประโยชน์” โดยบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่ไปเสนอกับผู้ต้องหาหรือญาติ ว่าจะสามารถ “วิ่งเต้น” เพื่อให้ศาลอนุญาตให้ประกันตัวได้หรือแม้แต่ถึงขนาดอ้างว่าจะช่วยถึงขั้น “หลุดคดี”
“เมื่อทุกคนยื่นคำร้องแล้วต้องแนบหลักประกันมา ทุกคนก็จะมุ่งไปหาที่นายประกัน นายประกันที่ว่าก็จะเป็นนายประกันอาชีพ การที่เราส่งคนที่เดือดร้อนไปพบกับนายประกันอาชีพ ซึ่งก็มีตำนานพูดกันว่าตีนโรงตีนศาล กลุ่มพวกนี้ก็เป็นกลุ่มที่จะแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบจากผู้เดือดร้อน ปัญหาคือเมื่อเราส่งเขาไปพบคนกลุ่มพวกนี้ก่อน ก็จะเกิดการเรียกร้องและแอบอ้าง เช่น วิ่งเต้นให้ได้ประกันตัวบ้าง หรือให้ชนะคดีบ้าง บางรายถูกหลอกลวงหลักหมื่นหลักหลายหมื่น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็เป็นปัญหาคาราคาซังกันมาตลอด”
คำบอกเล่าของ นายรังสรรค์ กุลาเลิศ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาธนบุรี ถึงสิ่งที่พบเห็นมาตลอดการทำงานในศาล ซึ่งแม้ทางศาลจะเข้มงวดไม่ให้บรรดาคนเหล่านี้เข้ามาหาผลประโยชน์ในพื้นที่ศาลแต่ก็ไม่ได้ผล เพราะยังไปทำกันอยู่รอบๆ ศาลเช่นเดิม จึงเกิดแนวคิดที่ว่า“ให้จำเลยยื่นคำร้องเข้ามาก่อน เมื่อศาลอนุญาตให้ประกันตัวแล้ว จำเลยจึงค่อยไปหาหลักทรัพย์มายื่นให้ครบถ้วนตามที่ศาลตีราคา”
อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาธนบุรี กล่าวต่อไปว่า เมื่อตรวจสอบข้อกฎหมายแล้วพบว่าทำได้ จึงเริ่มนำแนวคิดดังกล่าวมาใช้ทันที โดยให้จำเลยเขียนคำร้องทิ้งไว้ จากนั้นศาลจะเป็นผู้พิจารณาว่าจะให้ประกันตัวหรือไม่ หากศาลพิจารณาแล้วไม่ให้ประกันตัว จำเลยและญาติก็จะได้ไม่ต้อง “เสียเงินฟรีๆ” ให้กับบรรดานายประกันทั้งหลาย
แต่หากศาลพิจารณาแล้วให้ประกันตัว จำเลยและญาติก็จะได้ทราบทันทีว่าคดีของตนนั้นใช้หลักทรัพย์เป็นจำนวนเท่าใด จะได้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นไปในคราวเดียว ซึ่งดีกว่าแบบเดิมที่จำเลยหรือญาติต้องยอมจ่ายให้กับนายประกันก่อนโดยที่ไม่รู้ว่าจะได้ประกันหรือไม่ หากไม่ได้ประกันเงินก้อนนั้นก็สูญเปล่าไม่ได้คืน หรือถึงได้ประกัน แต่บางครั้งศาลก็ตีราคาประกันสูงกว่าที่ยื่นมา ทำให้ต้องเสียเวลา เสียค่าใช้จ่ายไปหาหลักทรัพย์เพิ่มเติม
“ทุกคนยื่นคำร้องมาแล้วศาลจะสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาต ถ้าอนุญาตศาลก็จะตีราคา จะห้าแสนหรือสามหมื่นก็ตีไป แล้วให้เสนอหลักประกันภายใน 7 วัน เปิดโอกาสให้ผู้ร้องไปหาหลักประกันที่ตัวเองพอใจ และไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ เปลี่ยนจากการยื่นประกันโดยต้องไปหาหลักประกันมาก่อน ทุกคนก็มุ่งแต่อยากจะได้ประกัน ก็ต้องยอมเสียไม่ว่านายประกันจะเรียกเท่าไร” อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญาธนบุรี กล่าว
หลังจากศาลอาญาธนบุรี นำแนวทางนี้มาใช้ได้ราวปีเศษๆ พบว่าข้อร้องเรียนเรื่องกลุ่มคนเรียกรับผลประโยชน์ลดลงอย่างมาก จึงต่อยอดด้วยการทำบันทึกข้อตกลงร่วมกัน (MOU) ระหว่างศาลอาญาธนบุรี กับ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม เมื่อ 7 ก.ค. 2558 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมพาร์ค วิลเลจ ถ.พระราม 2 เขตบางขุนเทียน กทม. โดยหากจำเลยรายใดที่เข้าหลักเกณฑ์ช่วยเหลือตาม กองทุนยุติธรรม ในการจัดหาหลักประกันหรือค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี ศาลอาญาธนบุรีจะประสานส่งต่อให้กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ดำเนินการตามขั้นตอนต่อไป
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 114 ระบุว่า “เมื่อจะปล่อยชั่วคราวโดยให้มีประกันและหลักประกันด้วยก่อนปล่อยตัวไปให้ผู้ร้องขอประกันจัดหาหลักประกันมาดั่งต้องการหลักประกันมี 3 ชนิด คือ (1) มีเงินสดมาวาง(2) มีหลักทรัพย์อื่นมาวาง (3) มีบุคคลมาเป็นหลักประกันโดยแสดงหลักทรัพย์”
นอกจากนี้ใน มาตรา 108/1 ยังระบุข้อพิจารณาว่าศาลควรให้ประกันตัวจำเลยหรือไม่ไว้หลายประการ เช่น จำเลยจะหลบหนีหรือไม่? จะไปรบกวนพยานหลักฐานหรือไม่? จะไปก่ออันตรายอื่นๆ อีกหรือไม่? จะกระทบต่อการสอบสวนหรือการดำเนินคดีหรือไม่? หรือหลักประกันที่ยื่นมาเชื่อถือได้เพียงใด? เป็นต้น ทั้งนี้กฎหมายมิได้บังคับให้จำเลยต้องยื่นหลักทรัพย์ตั้งแต่ขั้นตอนการร้องขอ แต่ให้ยื่นในขั้นตอนเมื่อจะได้รับการปล่อยตัว
แนวทางของศาลอาญาธนบุรี..จึงถือเป็น “ต้นแบบ” ในการลดความเหลื่อมล้ำ!!!
และหวังว่าในอนาคต..จะมีการ “ขยายผล”ไปยังศาลอื่นๆ ทั่วประเทศ!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี