ที่ดิน..ปัจจัยดำรงชีพที่สำคัญมากอย่างหนึ่งของมนุษย์ ทั้งในแง่ที่อยู่อาศัยและในแง่ทำมาหากิน ทว่าในหลายพื้นที่ยังมีปัญหามาก ทั้งเรื่องใหญ่ๆ คือความเหลื่อมล้ำในการ
ถือครองที่ดินระหว่างคนรวยไม่กี่กลุ่มกับคนทั่วไปจำนวนมาก ซึ่งทำให้เกิดปัญหาต่อเนื่อง เช่น มีการบุกรุกพื้นที่ป่า หรือบุกรุกที่ดินของรัฐ รวมถึงปัญหาความไม่อุดมสมบูรณ์ของที่ดิน เช่น เป็นพื้นที่ประสบภัยแล้งต่อเนื่อง จนชาวบ้านยอมขายที่ดินราคาถูกๆ ให้กับนายทุน เป็นต้น
ที่ผ่านมาภาครัฐพยายามแก้ไขปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการบังคับใช้กฎหมายจัดการกับผู้บุกรุก หรือแม้แต่การจัดสรรที่ดินทำกินให้กับผู้ยากไร้ แต่ท้ายที่สุดก็ยังไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้นได้เท่าที่ควร ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากการดำเนินการแบบไม่ครบวงจร โดยเฉพาะนโยบายที่ไม่เข้าใจสภาพความเป็นจริงของแต่ละพื้นที่ และไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนในพื้นที่มีส่วนร่วม
ด้วยข้อจำกัดดังกล่าว จึงเกิดแนวคิด “ชุมชนจัดการตนเอง” ที่แม้จะยังไม่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการจากภาครัฐส่วนกลาง แต่ในระดับท้องถิ่นและภาควิชาการ หลายพื้นที่ถือเป็น “กรณีศึกษา” ที่น่าสนใจ และเป็น “ต้นแบบ” จนพื้นที่อื่นๆ ต้องมาเรียนรู้ดังตัวแทนจากหลายชุมชนที่มาบอกเล่าเรื่องราว ในเวทีเสวนา “จัดการที่ดินโดยชุมชนท้องถิ่น = ชุมชนท้องถิ่นจัดการตนเอง?” ณ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) ถ.นวมินทร์ เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ เมื่อเดือน พ.ค. 2558 ที่ผ่านมา
กนกศักดิ์ ดวงแก้วเดือน นายกองค์การบริหารส่วนตำบลแม่ทา อ.แม่ออน จ.เชียงใหม่ กล่าวว่า ที่ดินในพื้นที่แม่ทามีอยู่ 73,000 ไร่ แต่นโยบายของรัฐจาก
ส่วนกลางเมื่อปี 2512 กำหนดให้ประชาชนราว 5,000 คนใช้ประโยชน์ในพื้นที่ได้เพียง 5,000 ไร่ ซึ่งขัดกับวิถีชุมชนที่ใช้ชีวิตทำมาหากินร่วมกับพื้นที่ป่ามาหลายชั่วอายุคน ทำให้ชาวชุมชนแม่ทา พยายามพิสูจน์ให้ภาครัฐเห็นว่า “คนกับป่าสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างยั่งยืน”
นายก อบต. แม่ทา เล่าว่า ชาวบ้านในพื้นที่จัดการสำรวจพื้นที่ทั้ง 73,000 ไร่ แล้วแบ่งเป็น 4 ส่วน คือ 1.ป่าอนุรักษ์ ไม่มีการใช้ประโยชน์ใดๆ ทั้งสิ้น 2.ป่าใช้สอย สามารถนำไม้มาใช้ในปริมาณเหมาะสม เช่น เพื่อซ่อมแซมบ้านหรือทำยุ้งฉาง 3.พื้นที่ทำกิน เป็นพื้นที่ทำมาหากินของชาวบ้าน และ 4.พื้นที่เอกสารสิทธิ หรือพื้นที่ 5,000 ไร่ข้างต้น โดยมีการตั้งคณะกรรมการชุมชน ประกอบด้วยตัวแทนหมู่บ้านละ 15 คน ทำสัญญาประชาคมร่วมกันเพื่อดูแลพื้นที่
“การต่อสู้ของคนแม่ทา เราเริ่มจากชาวบ้านจริงๆ ตั้งแต่ปี 2523 มีการล่ารายชื่อห้ามตัดไม้ ก็โชคดีปี 2529 มีภาคประชาสังคมเข้าไป การสู้ของแม่ทาคือเราพยายามสร้างเครือข่าย ให้คนมาศึกษาดูงาน การเปิดให้คนเข้าไปดูเยอะๆ นี่เป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด จะมีคนเถียงแทนเราว่าเขาจัดการดีแล้ว คุณไม่ต้องไปยุ่งกับเขาหรอกอันนี้เรียกว่าสร้างภายในให้แข็งแกร่งแล้วชวนภายนอกมาเป็นภาคี” นายก อบต.แม่ทา กล่าว
“แม่ทาโมเดล” กลายเป็นแรงบันดาลใจให้หลายชุมชนนำไปประยุกต์ใช้ เช่นในรายของ อำนาจ สว่างพร้อม รองปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลท่าผาปุ้ม อ.แม่ลาน้อย จ.แม่ฮ่องสอน เล่าว่า หลังจากไปดูงานในพื้นที่แม่ทาอยู่ 3 ครั้ง ก็รู้สึก “ทึ่ง” กับการบริหารจัดการของชาวชุมชนที่แม้จะมีการนำทรัพยากรจากป่ามาใช้ แต่สามารถดูแลสภาพป่าไม่ให้เสื่อมโทรมได้
รองปลัด อบต.ท่าผาปุ้ม เล่าต่อไปว่า แต่การนำแนวคิดจากแม่ทามาปรับใช้ ถือว่า “ทำงานหนัก” ไม่น้อย เพราะผู้คนในพื้นที่จำนวนมากเป็น “ชาวไทยภูเขา” จึงไม่มีเอกสารสิทธิครอบครอง และถูกกล่าวหาว่าบุกรุกที่ป่าสงวน กระทั่งในเวลาต่อมา พบหลักฐานว่าหมู่บ้านของชาวไทยภูเขาเหล่านี้อยู่มาก่อนจะมีการประกาศพื้นที่ป่า
อีกทั้งการใช้พื้นที่ป่าก็ไม่ใช่การ “ทำไร่เลื่อนลอย” แต่เป็นการ “ทำไร่หมุนเวียน” เพียงแต่คนนอกพื้นที่ไม่เข้าใจ เมื่อพบเห็นจึงคิดว่าเป็นการบุกรุกป่าเพิ่มไม่มีที่สิ้นสุด ทำให้ต้องสำรวจพื้นที่ทั้งหมดเพื่อจัดทำฐานข้อมูลว่าที่ดินแปลงไหนเป็นของใคร? และใช้ทำประโยชน์อะไรบ้าง?
“ผมไปใหม่ๆ ก็เข้าใจว่าเป็นไร่เลื่อนลอย แต่ว่าไม่ใช่ เป็นไร่หมุนเวียน คือในครอบครัวจะมีที่ทำกิน 7 แปลง ใช้ทำกินปีละ 1 แปลงหมุนเวียนไป อีก 6 แปลงจะเป็นพื้นที่ป่าให้ฟื้นฟู พอดินมันดีใบไม้มันทับถม พอครบ 7 ปีก็จะกลับมาทำ หมายถึงที่ตรงนั้นไม่ต้องใช้ปุ๋ยใช้ยาเยอะเพราะดินเขาดูแลตัวเองอยู่แล้ว แล้วภูมิปัญญาการนับถือผี การนอบน้อมต่อธรรมชาติ การดูแลแหล่งต้นน้ำ ส่วนใหญ่ใช้ประปาภูเขา พื้นที่ตรงนี้ส่วนใหญ่อยู่ในป่าสงวน แต่เมื่อเราสืบค้น เขาตั้งหมู่บ้านมาแล้วสองร้อยกว่าปี นั่นคือเขาอยู่มาก่อน แนวทำไร่พวกนี้เขาจะรู้กันเอง
แต่ทีนี้การรู้กันเองมันไม่ปรากฏกับสังคม จึงเอาการออกกฎกติกาการดูแลป่ามาเป็นเครื่องมือช่วยเขา เราก็ไปจัดทำข้อมูล ให้บุคคลภายนอกรู้ด้วยว่าเขาอยู่ตรงนี้จริงๆ สามารถเอามาขึงต่อกันทั้งจังหวัด เอามาใช้ประโยชน์ในการจัดการข้อมูลที่ดิน คือมันไม่มีข้อมูลว่าแปลงนี้เป็นที่ดินของใคร? ใช้ประโยชน์อะไร? ไร่หมุนเวียนเท่าไร? ป่าสงวนเท่าไร? ป่าอนุรักษ์เท่าไร? ป่าต้นน้ำเท่าไร? มันไม่มีข้อมูลมาก่อน เราก็เริ่มทำตรงนี้” อำนาจ ระบุ
แม้หลายพื้นที่จะได้ผลเป็นที่น่าพอใจ ไม่มีการบุกรุกพื้นที่ป่าเพิ่มอีกอย่างมีนัยสำคัญ ทว่า ณ วันนี้ภัยคุกคามใหม่กำลังมาเยือน และมีแนวโน้มว่าอาจทำให้กติกาชุมชนต้องพังทลาย นั่นคือ “การเพาะปลูกเศรษฐกิจที่ใช้ที่ดินขนาดใหญ่” ซึ่ง กนกศักดิ์ มองว่าร้ายยิ่งกว่านายทุนลักลอบตัดไม้ไปขาย เพราะจะเป็น “ความขัดแย้งภายใน” ระหว่างชาวบ้านด้วยกันเอง ไม่ใช่การต่อสู้กับผู้มีอิทธิพลที่เป็น “คนนอก” อย่างในอดีต
“ตอนนี้ภัยคุกคามที่น่ากลัวที่สุดคือการปลูกพืชเศรษฐกิจขนาดใหญ่ซึ่งใช้ภูเขาทั้งลูกในการผลิต วันไหนที่ตัวนี้เข้ามาในแม่ทา คนแม่ทาก็เอาไม่อยู่ เพราะมันเป็นการต่อสู้ของคนกันเอง พวกผมต่อสู้กับพวกตัดไม้ทำลายป่า เรายังสู้ได้เพราะพวกเขาเป็นคนอื่น แต่วันไหนชาวบ้านทำอาชีพตรงนั้นแล้วเราว่าทำไม่ได้ป่าจะเสีย สู้ไม่ได้ครับเพราะเราสู้กับชาวบ้านสู้ลำบาก อีกหน่อยเรามีชื่อเสียง มีคนมาจีบให้เปิดเป็นเมืองท่องเที่ยว เปิดเป็นอะไรต่างๆ พาณิชยกรรมต่างๆ อันนี้ก็เป็นเรื่องของภัยคุกคามครับ” นายก อบต. แม่ทา ฝากทิ้งท้าย
ทั้งหมดนี้ด้านหนึ่งเห็นได้ชัดว่า แนวทางบริหารจัดการที่ดินโดยชุมชนและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นนั้นสามารถทำได้ หากภาคประชาชนในพื้นที่เข้มแข็งและมีฐานข้อมูลความรู้ที่เพียงพอ แต่อีกด้านหนึ่ง คงต้องพิสูจน์กันต่อไปว่าชุมชนเหล่านี้จะเข้มแข็งไปได้อีกนานเท่าไร
ในยุคที่กระแสแห่ง “วัตถุนิยม-บริโภคนิยม”แผ่ขยายไปทั่วทุกพื้นที่ของโลกใบนี้!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี