ไม่บ่อยครั้งนักสำหรับดินแดนที่ถูกขนานนามว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว” อย่างประเทศไทย จะประสบกับวิกฤติภัยแล้งจนถึงขั้นรัฐบาลต้อง “จัดระเบียบการใช้น้ำ” ในทุกภาคส่วนไม่ว่าการเกษตร หรือการอุปโภคบริโภค หลังปริมาณน้ำทั้งในเขื่อน อ่างเก็บน้ำ และคลองชลประทาน “แห้งขอด” ไปหลายแห่ง ขณะที่บางแห่งถึงมีน้ำ แต่ก็มีเหลือเพียง “ติดก้น” เท่านั้น
ท่ามกลางคำถามที่ว่า “น้ำก้นเขื่อนเหล่านี้..ควรนำมาใช้หรือไม่?”
“น้ำก้นเขื่อน” ใช้-ไม่ใช้ อยู่ที่อะไรบ้าง?
20 ก.ค. 2558 วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) เปิดแถลงข่าวเรื่อง “ความมั่นคงของเขื่อนเก็บน้ำในวิกฤติภัยแล้ง” ณ อาคาร วสท. ซอยรามคำแหง 39 ซึ่ง รศ.ดร.สุทธิศักดิ์ ศรลัมพ์ ประธานคณะอนุกรรมการสาขาวิศวกรรมปฐพี กล่าวว่า เขื่อนไหนจะนำน้ำติดก้นเขื่อนมาใช้ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับปัจจัยดังนี้
1.ความปลอดภัยของตัวเขื่อน เพราะแต่ละเขื่อนมีโครงสร้างไม่เหมือนกัน เขื่อนบางแห่งก่อสร้างมาเผื่อกรณีน้ำแห้งจนหมด แต่บางเขื่อนก็ไม่เป็นเช่นนั้น อย่างไรก็ตาม โดยทั่วไปแล้วเขื่อนมีโครงสร้างค่อนข้างแข็งแรงกว่าถนน เพราะทำจากดินบดอัด จึงไม่น่าจะเกิดการทรุดตัวได้แบบที่เกิดกับถนนริมคลองหลายสายตามที่เป็นข่าวไปไม่นานนี้
“โครงสร้างเขื่อนกับถนนนี่คนละเรื่องกัน ถนนที่วิบัตินี่เป็นดินธรรมชาติและดินเหนียวอ่อน ขณะที่โครงสร้างเขื่อนเป็นดินที่ถูกบดอัดขึ้นมาโดยรถบดอัด ความแข็งแรงคนละแบบกัน เขื่อนแข็งแรงมากกว่าเยอะ ในการออกแบบเขื่อนก็เช่นกัน บางเขื่อนถูกออกแบบไว้แล้วว่าถ้าน้ำไม่มีเลยจะเกิดความปลอดภัยหรือไม่ ยกตัวอย่างเขื่อนขุนด่านปราการชล ฐานหน้าเขื่อนเป็นสามเหลี่ยมยื่นออกมา เขาเผื่อไว้เป็นฐานยันให้เขื่อนยืนได้ แบบนี้ถือว่าโอเค น่าจะสามารถรับได้ถ้าเกิดน้ำไม่มีเลย” ประธานคณะอนุกรรมการสาขาวิศวกรรมปฐพี อธิบาย
2.ความปลอดภัยของระบบผลิตกระแสไฟฟ้า เขื่อนบางแห่งออกแบบมาสำหรับผลิตกระแสไฟฟ้า หากนำน้ำมาใช้จนหมด อากาศอาจจะเข้าไปแทนที่ จนทำให้เครื่องจักรเสียหายได้
“เขื่อนที่ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า ถ้าระดับน้ำอยู่ต่ำกว่าระบบที่ดูดน้ำเข้าไปยังระบบผลิตกระแสไฟฟ้าจนระบบแห้ง อากาศจะเข้าไปในระบบ ก็จะทำระบบเสียหาย ฉะนั้นความปลอดภัยต่อระบบเครื่องกลผลิตกระแสไฟฟ้านี่เป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่ามันไม่คุ้มกัน เสียหายแล้วก็เสียหายเยอะ แล้วอาจจะซ่อมไม่ทันต่อการใช้งานปกติ” ดร.สุทธิศักดิ์ ระบุ
และ 3.ความปลอดภัยของขอบอ่างเก็บน้ำ โดยปกติแล้ว อ่างเก็บน้ำที่ตั้งอยู่กับตัวเขื่อน ขอบอ่างหรือตลิ่งมักจะเป็นลักษณะทางลาดลงไป เวลาปกติจะมีน้ำคอยพยุง ดังนั้นหากน้ำแห้งจนหมดอาจส่งผลให้ขอบอ่างเกิดการทรุดพังเลื่อนลง (Slide) ได้ แต่กรณีนี้เชื่อว่าไม่น่าจะเกิดขึ้น เพราะน้ำในเขื่อนไม่ได้ลดลงเร็วแบบ “ฮวบฮาบ” เพราะไม่มีเครื่องสูบน้ำมาตั้งมากมายเท่ากับคลองที่มีผู้สูบน้ำไปใช้ทำการเกษตร
“ปรากฏการณ์การลดลงของน้ำอย่างรวดเร็ว กรณีคล้ายๆ กับตลิ่งแม่น้ำ ในเขื่อนน่าจะเป็นไปได้ยาก เพราะการสูบไปใช้มันไม่สามารถทำได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเขื่อนขนาดกลางและขนาดใหญ่ โอกาสสูบไปใช้มันทำได้ยาก ส่วนเขื่อนขนาดเล็ก เท่าที่คุยกับผู้เชี่ยวชาญ ตอนนี้ไม่ต้องกังวลเลยเพราะไม่มีน้ำเหลืออยู่แล้ว” ดร.สุทธิศักดิ์ กล่าว
“เก่า-ใหม่” เขื่อนไหนปลอดภัยกว่ากัน?
อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ..มีผู้สงสัยว่าเขื่อนในประเทศไทยเป็น “เขื่อนเก่า” สร้างมานานแล้ว เช่น เขื่อนภูมิพล เปิดใช้งานมาตั้งแต่ปี 2507 เขื่อนสิริกิติ์ เปิดใช้งานมาตั้งแต่ปี 2520 เขื่อนศรีนครินทร์ เปิดใช้งานมาตั้งแต่ปี 2524 หากวันหนึ่งระดับน้ำแห้งขอดจนเกลี้ยง จะปลอดภัยหรือไม่? ซึ่ง ดร.สุทธิศักดิ์ กล่าวว่า จริงๆ แล้ว เขื่อนเก่าแก่นั้น “ไม่น่าห่วง” เท่าเขื่อนเกิดใหม่ เพราะจากสถิติการพังของเขื่อน มักจะเกิดขึ้นในช่วง “5 ปีแรก” หลังเปิดใช้งานเสมอ อีกทั้งที่ผ่านมา ไม่เคยปรากฏว่ามีเขื่อนพังเพราะน้ำแห้งหมด มีแต่พังเพราะน้ำเต็มจนล้นทั้งสิ้น
“สถิติที่เขื่อนพัง ส่วนใหญ่เขื่อนที่อายุน้อยกว่า 5 ปี จะพังได้ง่ายกว่าเขื่อนที่อายุเยอะๆ ด้วยหลายสาเหตุ อันที่หนึ่งคือเขื่อนที่ไปสร้างกันจะมีสภาพทางธรณีวิทยา สภาพภูมิประเทศไม่เหมือนกัน ดังนั้นในช่วง 5 ปีแรกถ้าเกิดผิดพลาดในการสำรวจออกแบบ มันจะแสดงอาการเลย มันก็พังเลยให้เห็น แต่ถ้ามันรอดระดับน้ำสูงสุดไปแล้วหลายๆ ปี มันก็เหมือนผ่านการทดสอบไปแล้ว โอกาสการพังก็จะน้อยลง”
ดร.สุทธิศักดิ์ กล่าวย้ำ อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ความประมาท หน่วยงานที่ดูแลเขื่อนแต่ละแห่ง ต้องเข้าไปตรวจสอบด้วยว่า วิกฤติภัยแล้งครั้งนี้ ทำให้เขื่อนเกิดรอยแตกร้าวขึ้นบ้างหรือไม่? รวมถึงระวังสัตว์บางชนิด เช่น หนูหรือตัวตุ่นที่เจาะเข้าไปทำรังช่วงน้ำแห้ง ซึ่งอาจทำให้เขื่อนเกิดรอยรั่วเสียหายได้
ถึง “ใช้ได้” แต่ “ควรใช้” หรือเปล่า?
แม้ข้อสรุปเบื้องต้น เชื่อได้ว่าการนำน้ำก้นเขื่อนไปใช้จะไม่ทำอันตรายต่อตัวเขื่อนโดยตรง แต่ในแง่ของ “การบริหารจัดการน้ำ” เกิดคำถามตามมาว่า “คุ้มหรือไม่?” ด้วยความที่ประเทศไทยนั้นพึ่งพา “น้ำฝน” มาโดยตลอด หากในปีถัดไปเกิดภาวะฝนแล้งเช่นปีนี้ เท่ากับว่าในเขื่อนจะไม่มีน้ำเหลืออีกแล้ว
สอดคล้องกับความเห็นของ นายสมภพ สุจริต ผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมชลประทาน กรมชลประทาน ระบุว่า แม้น้ำก้นเขื่อนจะสามารถนำมาใช้ได้ แต่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะไม่รู้ว่าปีถัดไปจะเกิดอะไรขึ้น
“มันมีทางที่จะเอาน้ำออกมาใช้ได้บ้าง เป็นเรือนร้อยล้านลูกบาศก์เมตรได้ แต่การนำน้ำตรงนี้มาใช้ต้องพิจารณาให้รอบคอบ ถึงความเสียหายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งการนำน้ำปีหน้ามาใช้ คือถ้าฝนหน้ามา มันก็ต้องเข้ามาเติมเต็มตรงนี้เสียก่อน ฉะนั้นมันก็จะเป็นลูกโซ่ผูกพันกันไป
แต่ของกรมชลช่วยอะไรไม่ได้มากหรอก ของกรมชลต่ำกว่าร้อยล้านลูกบาศก์เมตรทั้งนั้น เพราะเราออกแบบมาเพื่อผันน้ำได้เต็มที่ ถ้าหมดก็คือศูนย์เลย จะเอาน้ำออกจากเขื่อนกรมชลได้คือต้องสูบอย่างเดียว ถามว่าคุ้มไหม? สูบน้ำออกมาแล้วให้มันซึม ให้มันระเหย คุ้มไหม?” ผู้เชี่ยวชาญจากกรมชล ฝากคำถามทิ้งท้าย
แม้ในทางวิชาการ การนำน้ำก้นเขื่อนมาใช้เป็นสิ่งที่ต้อง “คิดอย่างรอบคอบ-ทำอย่างระมัดระวัง” เพราะอาจส่งผลกระทบต่ออะไรหลายๆ อย่างโดยเฉพาะปริมาณน้ำสำรองสำหรับปีถัดไป แต่จะทำอย่างไรให้ประชาชนเข้าใจถึงความจำเป็นที่ต้องใช้น้ำอย่างประหยัด
โดยเฉพาะใน “ภาคเกษตรกรรม” ที่หลายพื้นที่มีข่าวว่า เกษตรกรบางส่วน “หวั่นวิตก” ว่าตนเองจะไม่มีน้ำใช้ทำนา ทำให้พากันสูบน้ำจากแหล่งน้ำต่างๆ ไปไว้ในที่ดินของตนจนเกินความจำเป็น ทำให้น้ำที่สูบไปส่วนหนึ่งซึมลงดินบ้าง ระเหยเป็นอากาศบ้างไปเปล่าๆ ไม่เกิดประโยชน์ ซ้ำร้ายยังเป็นการ “สร้างความแตกแยก” ระหว่างเกษตรกรต้นน้ำกับเกษตรกรปลายน้ำอีกด้วย เพราะคนต้นน้ำสูบน้ำไปเก็บไว้จนไม่เหลือให้กับคนปลายน้ำแม้แต่น้อย
เป็นอีกโจทย์ใหญ่ที่ผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต้องร่วมกันหาทางออก!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี