วันฮารีรายออีฎิ้ลฟิตริ ฮิจเราะห์ศักราช 1436
เมื่อ 17 กรกฎาคม ที่ผ่านมา มีจังหวะก้าวสำคัญของแนวทาง “ดับไฟใต้” เกิดขึ้น เมื่อ “หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ” หรือ นายมะแอ สะอะ วัย 63 ปี อดีตแกนนำ “ขบวนการพูโล” ได้รับการปล่อยตัวจากเรือนจำ
“หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ” เป็นหนึ่งสัญลักษณ์ของ “ผู้เห็นต่าง” ที่ต่อสู้กับเจ้าหน้าที่รัฐไทยมานานหลายสิบปี ก่อนถูกจับกุม “ติดคุก” นาน 18 ปี การปล่อยตัวเขาครั้งนี้ถือเป็นจังหวะก้าวของการ “สร้างสันติภาพ” ที่เหมาะเจาะ เพราะ “ฮารีรายอ” ถือเป็นวันที่ดีของพี่น้องชาวมุสลิม อีกทั้งยังแสดงถึงความ “จริงใจ” ต่อการแก้ไขปัญหา “ไฟใต้” ของภาครัฐ
“มะแอ สะอะ” หรือ “ยีแอ ท่าน้ำ” เป็นบุคคลหนึ่งที่มีบทบาท เป็นที่เคารพนับถือของคนในพื้นที่ แม้จะสูญสิ้น “อิสรภาพ” แต่ความนับถือของผู้คนมิได้เสื่อมถอย จะเห็นได้ว่าหลังจากที่ได้รับการ “พักโทษ” และกลับมาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวที่บ้านเกิด ต.ท่าน้ำ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ได้มีประชาชนจากทั่วสารทิศ โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ แห่แหนมาเยี่ยมเยียนอย่างไม่ขาดสาย ทุกคนมีรอยยิ้ม บนความคาดหวังว่า...
“สันติสุข” จะหวนกลับมาอีกครั้ง!!!
ย้อนไปเมื่อ 18 ปีก่อน “หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ” ถูกจับในห้วงเวลาใกล้เคียงกับแกนนำคนอื่นๆ ในยุครัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งการเจรจาในครั้งนั้นมี “ข้อตกลง” ลับๆ ว่าเขาและแกนนำคนอื่นๆ จะไม่ถูกคุมขัง แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร เมื่อเขาและพวกถูกดำเนินคดีข้อหาฉกรรจ์ ทำให้ผู้เห็นต่างกลุ่มอื่นๆได้โอกาส“ลุกฮือ” ก่อการไม่สงบ โดยยกความ “ไม่จริงใจ” ของภาครัฐมาเป็นข้ออ้าง และปัญหายังคง “ลุกลาม” มาจนถึงทุกวันนี้
“หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ” ที่วันนี้พร้อมเปลี่ยนสถานะจาก “ผู้เห็นต่าง” มายืนอยู่ในฟาก “ผู้ร่วมสร้างสันติสุข” ย้อนอดีตให้ฟังว่า ตั้งแต่ปี 2519-2536 ขบวนการพูโล มี “ตึงกูบีรอห์ กอตอนีรอห์” หรือ “กาบีอับดุลห์ ละห์มัน” เป็นหัวหน้าขบวนการ มี ดร.ฮารุน มูรเล็ง หรือมูฮัมหมัด เบ็นมูฮัมหมัด เป็นรองขบวนการ รับผิดชอบงานโซนอเมริกา และยุโรป, ฮัจยีอับดุลห์ฮาดี ฮัจยีรอห์ชาลี รองหัวหน้าขบวนการ ฝ่ายเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ ฮัจยีรุสดี บีงอ รองหัวหน้าขบวนการ ฝ่ายเอเชียตะวันออกกลาง
ปี 2536 ขบวนการพูโล เกิด “วิกฤติความขัดแย้ง” ในกลุ่มผู้นำ ทำให้ขบวนการพูโล แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ “พูโลเก่า”
มี ตึงกูบีรอห์ เป็นผู้นำ และ “พูโลใหม่” มี ฮัจยีอับดุลห์ฮาดี ฮัจยีรอห์ชาลี เป็นผู้นำ ส่วน ฮัจยีรุสดี บีงอ ไม่ฝักใฝ่กลุ่มใด และ “วางมือ” ไปในภายหลัง ทำให้ ซัมซูดิง ข่าน ขยับขึ้นเป็นรองหัวหน้าขบวนการ “พูโลเก่า” แทน และช่วงนั้นมีการเจรจาสันติภาพใน “ทางลับ” ระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทยกับ ตัวแทนขบวนการพูโล เกิดขึ้น 2 ครั้ง ครั้งแรกที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ครั้งที่ 2 ที่เมืองดัมซิก ประเทศซีเรีย
“หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ” บอกว่า ช่วงที่มีการเจรจาซึ่งตนทำหน้าที่เป็น “คนกลาง” ประสานงาน ทำให้มีโอกาสพูดคุยกับตัวแทนรัฐบาลไทย ซึ่งมาจากกองบัญชาการทหารสูงสุด(บก.สส.) หลายครั้งที่ประเทศมาเลเซีย สาระสำคัญที่พูดคุยเป็นเรื่องที่รัฐบาลไทยขอให้เข้าร่วมช่วยแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ และตนก็ตอบรับให้ความร่วมมือด้วยความ “เต็มใจ”
“ครั้งแรกของการเจรจาพูดคุยมีระดับผู้นำขบวนการในมาเลเซียหลายคนคัดค้าน ต่อต้าน เพราะไม่เชื่อว่ารัฐบาลไทยจะมีความมุ่งมั่น และจริงจังกับการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้จริง”
“หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ” บอกว่า ตอนนั้นตนได้พยายามชี้แจง อธิบาย จนทำให้แกนนำหลายคนเข้าใจ และเห็นด้วยกับแนวทางของรัฐบาลไทย แต่ยังมีบางกลุ่มที่“ไม่เชื่อใจ” ระหว่างนี้เองได้เกิดการรวม “กลุ่มเบอร์ซาตู” มี ดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมัน เป็นแกนนำหลัก กลุ่มนี้ตอบรับเจรจากับรัฐบาลไทย หลังจากนั้นผู้นำขบวนการพูโล และกลุ่มเบอร์ซาตู ได้รับเชิญจากเจ้าหน้าที่สันติบาลของมาเลเซีย ให้ไปพบปะพูดคุยกันที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย
อดีตผู้นำพูโล บอกอีกว่า การพบปะในครั้งนั้น ผู้นำขบวนการ “พูโลเก่า” ปฏิเสธการควบรวมกับ “กลุ่มเบอร์ซาตู” โดยให้เหตุผลว่าการเจรจาระหว่างขบวนการกับรัฐบาลไทยคืบหน้าไปมากแล้ว จึงไม่ควรเริ่มต้นใหม่ แต่ขบวนการพูโลเก่า ยังสนับสนุนให้กลุ่มเบอร์ซาตู
มีการเจรจากับรัฐไทยอย่างต่อเนื่อง
จนกระทั่งเมื่อปี 2540 ตนกับแกนนำอีกหลายคน ถูกทางการมาเลเซียจับส่งให้รัฐบาลไทย และถูกดำเนินคดีข้อหากบฏ ต้องติดคุกนาน 18 ปี ระหว่างนั้นไม่มีผู้นำกลุ่มใดออกมาพูดคุยเจรจากับรัฐบาลไทยอีกเลย เพราะเขามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนว่ารัฐบาลไทย...
“ขาดความจริงใจ ไม่มีความปลอดภัย”!!!
“มะแอ สะอะ” บอกว่า ระหว่างถูกคุมขังในเรือนจำตนคิดเสมอว่าการพูดคุยเจรจาระหว่างกลุ่มขบวนการกับรัฐบาลไทยน่าจะเป็นไปได้ “ยาก”!!!
ตัวอย่างที่ทำให้เขาเชื่อว่าโอกาสของการเกิด “สันติภาพ” ไม่มีทางบรรลุผล คือ เมื่อปี 2552 ในขณะที่อยู่ในเรือนจำ เขาเคยเขียนหนังสือส่งถึงฝ่ายทหารของไทย และช่วงที่เกิดเหตุการณ์ความไม่สงบใหม่ๆ ยังเคยเขียนจดหมายถึง “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น เพื่อขอให้มีการพูดคุยเจรจา และทราบว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้ส่งตัวแทนไปมาเลเซีย เพื่อพบกับผู้นำกลุ่มเบอร์ซาตู แต่กลับถูกปฏิเสธ หลังจากนั้นรัฐบาลก็แทบไม่สนใจแนวทางการเจรจาอีกเลย
“นี่อาจเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้สถานการณ์ไฟใต้ขยายวงกว้าง เริ่มเกิดความรุนแรงอย่างต่อเนื่อง”
อดีตผู้นำพูโล มองว่า การใช้ “อาวุธ” ไม่ใช่ทางออกของการ “ดับไฟใต้” ที่ “ลุกโชน” ในขณะนี้ได้ เพราะปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขยังมีอีกมาก ทั้งเรื่องปัญหาความยากจน คนไม่มีงานทำ ปัญหาการศึกษา ปัญหาเศรษฐกิจ การสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับคนในพื้นที่ก็นับเป็นปัญหาสำคัญที่ควรได้รับการแก้ไขปัญหา
“ถ้าไม่แก้ไขปัญหาข้างต้น ต่อให้ทุ่มกำลังลงมาในพื้นที่มากมายเท่าไร อาจไม่สามารถตอบโจทย์ในทุกมิติ ไม่อาจดับไฟใต้ที่ลุกโชนได้” หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ กล่าวทิ้งท้าย
แม้ “หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ” จะไม่ได้มีอิทธิพลต่อ “โจรใต้” ที่ก่อหวอดอยู่ในขณะนี้ แต่มุมมองของ “ผู้นำ” ที่เคย “ผ่าน” สถานการณ์ในพื้นที่มาทั้ง “บุ๋น” และ “บู๊” ถือเป็นประสบการณ์ที่เจ้าหน้าที่รัฐไทยไม่อาจ “มองผ่าน” ได้
รอซิดะห์ ปูซู
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี