ปัจจุบันสังคมไทยก้าวเข้าสู่ สังคมผู้สูงอายุ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ดังที่มีการประมาณว่า ปัจจุบันเรามีประชากรวัย 60 ปีขึ้นไป ราว 6-6.5 ล้านคน หรือมากกว่าร้อยละ 10 ของประชากรทั้งประเทศ ขณะที่ประชากรเกิดใหม่ลดลง ทำให้หลายภาคส่วนเริ่มหามาตรการมาดูแลผู้สูงอายุเหล่านี้ แต่ปัญหาที่พบ คือยังมีผู้สูงอายุไม่น้อยถูกทอดทิ้ง และหลายรายเป็น “ผู้ยากไร้” ฐานะไม่ดี ต้องประสบกับความยากลำบากในบั้นปลายชีวิต
ดังตัวอย่างที่เราลงพื้นที่ อ.ปะทิว จ.ชุมพร กับเครือข่ายของซีพีเอฟ เมื่อปลายเดือน มิ.ย. 2558 ที่ผ่านมา นายอำนาจ คัคนา ผู้สูงวัยรายหนึ่ง กล่าวว่า การเข้ามาช่วยเหลือของภาครัฐและภาคเอกชนนั้นถือเป็นเรื่องที่ดี และช่วยเพิ่มรายรับในครัวเรือน แต่ก็อาจจะยังไม่พอใช้จ่าย แม้ตัวเองจะอยู่เพียงลำพังแต่ก็ต้องมีการซื้อของเพื่อมาบริโภคอยู่ทุกวัน
ส่วนในด้านของสุขภาพนั้น อำนาจเผยว่า มีปัญหาพิการทางขา หากจะทำอะไรก็ไม่สามารถทำได้อย่างสะดวก ส่วนเรื่องของการออกกำลังกายทำได้เพียงเล็กน้อยไม่สามารถขยับเขยื้อนได้มากนัก การที่จะไปรับการรักษาก็ต้องไปด้วยตนเอง ถือเป็นเรื่องที่ลำบาก
เช่นเดียวกับ นางวิลัย เอกอุทิศผู้สูงวัยอีกราย กล่าวว่า การที่ทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาช่วยเหลือนั้นทำให้ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น แต่ด้วยภาระที่ต้องเลี้ยงดูบุตรหลาน ในการส่งเสียค่าเล่าเรียนนั้นก็ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก ซึ่งเงินที่ได้มานั้น ต้องเก็บเอาไว้เพื่อเป็นทุนการศึกษาให้แก่บุตรหลานที่กำลังเรียนอยู่
“ในเรื่องของความช่วยเหลือในตอนนี้ถือว่ายังพออยู่ได้ แต่ก็ยังไม่พอใช้ เพราะว่า อยู่กัน 4 คน ค่าใช้จ่ายอย่างต่ำวันละ 100 บาท และต้องส่งหลานชายเพราะยังเรียนหนังสืออยู่ จึงอยากจะให้ช่วยในเรื่องนี้ และตอนนี้ก็เป็นโรคมะเร็งไขสันหลังอยู่ ต้องนั่งรถไปโรงพยาบาลเองในการไปรักษาที่โรงพยาบาล มีความลำบากเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เพราะต้องไปบ่อย จนกว่าจะหาย”
วิลัยระบุ และกล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากปัญหาการขาดแคลนทรัพย์ที่ยังต้องการความช่วยเหลือเพิ่มเติม ยังเชื่อมโยงไปในด้านปัญหาจิตใจที่ยังต้องได้รับการเยียวยา ในส่วนของตนนั้นยังดีที่มีบุตรหลานอยู่ด้วยกัน หรือบางครั้งก็มีเพื่อนบ้านมาเที่ยวมาเที่ยวหาอยู่เป็นประจำ ทำให้ไม่รู้สึกเหงา
นางวรุฬเพ็ญ เพ็ชรนิล พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) บ้านคอกม้า อ.ปะทิว จ.ชุมพร กล่าวว่า ส่วนใหญ่ปัญหาของผู้สูงอายุที่พบจะเป็นทั้งในด้านของสภาพร่างกายและสภาพจิตใจ ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องมีการวิเคราะห์เพื่อหาทางแก้ไขและการดูแลรักษา
โดยในเรื่องของสภาพทางกายก็จะเป็นเรื่องของปัญหาสุขภาพ เช่นการเคลื่อนไหว อาจก่อให้เกิดอุบัติเหตุง่าย และปัญหาในเรื่องของการรับประทานอาหาร ส่วนปัญหาสุขภาพใจ ผู้สูงวัยมักจะต้องอยู่บ้านคนเดียว ลูกหลานมักจะออกไปทำงาน จะต้องดูว่ามีภาวะซึมเศร้าหรือมีปัญหาสุขภาพจิตหรือไม่?
“วรุฬเพ็ญ” กล่าวต่อไปว่า ผู้สูงวัยนั้นควรจะต้องได้รับประทานอาหารที่มีโปรตีนเป็นหลักและอาหารที่รับประทานไม่ควรเค็มและหวานจนเกินไป ส่วนในด้านการออกกำลังกายวิธีที่ผู้สูงวัยสามารถทำได้นั้นคือ “การแกว่งแขน” เป็นวิธีบริหารร่างกายที่ง่าย และช่วยให้กล้ามเนื้อสามารถยืดหยุ่นได้
“ผู้สูงวัยเนี่ย แบ่งได้ 3 ลักษณะ โดยมีกลุ่มติดบ้าน, กลุ่มติดเตียง, กลุ่มติดสังคม ซึ่งกลุ่มที่น่าเป็นห่วงที่สุดคือกลุ่มติดเตียง เพราะเป็นกลุ่มที่ต้องการกำลังใจ การเข้าไปดูแล และการเยี่ยมจะทำให้ผู้สูงวัยมีกำลังใจที่ดี ในส่วนการติดตามนั้นดูที่ภาวะสุขภาพของผู้สูงวัย หากเป็นผู้ติดบ้านติดสังคม ก็จะปีละ 1 ครั้ง แต่หากเป็นผู้สูงวัยที่ติดเตียงก็จะติดตาม 3 เดือนครั้ง หรือไม่ก็ ัปดาห์ละครั้ง ต้องดูที่ภาวะสุขภาพของผู้สูงอายุคนนั้นเป็นหลัก
รพ.สต.ของเราเนี่ย มีเรื่องกิจกรรมแผนเยี่ยมบ้าน ซึ่งเป็นงานที่เราต้องดูแลเป็นประจำอยู่แล้ว เพราะต้องดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ แต่ละคนก็ต้องการความช่วยเหลือ เราลองมองดูว่า ปัจจุบันผู้สูงอายุไร้ญาติเยอะขึ้นแต่โดยส่วนใหญ่ลูกหลานจะออกไปทำงานที่อื่น และโดยเฉพาะกลุ่มที่ติดบ้านติดเตียงก็มีจำนวนเพิ่มมาก แต่ก็อาจจะเป็นเพราะปัญหาสุขภาพของเค้าด้วยหรืออาจไม่มีคนดูแล และทางรพ.สต จึงอยากที่จะเข้าไปช่วยเหลือ” วรุฬเพ็ญ พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ ฝากทิ้งท้าย
สำนักงานสถิติแห่งชาติ เคยสำรวจพบว่าสัดส่วนผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวตามลำพังในครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น โดยปี 2537 มีผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวร้อยละ 3.6 ในปี 2545 เพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 6.3 และในปี 2550 มีผู้สูงอายุอยู่คนเดียวตามลำพังร้อยละ 7.7 และมากกว่าครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 56.7) ของผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียวตามลำพัง สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีปัญหา ที่เหลือ
ร้อยละ 43.3 ยังคงเป็นกลุ่มที่มีปัญหา
โดยปัญหาที่พบมากที่สุดคือรู้สึกเหงา (ร้อยละ 51.2) รองลงมาคือไม่มีคนดูแลเมื่อเจ็บป่วย (ร้อยละ 27.5) ต้องเลี้ยงชีพด้วยตนเองและมีปัญหาทางการเงิน ไม่มีคนช่วยทำงานบ้านและอื่นๆ (ร้อยละ 15.7 ร้อยละ 5.2 และร้อยละ 0.4 ตามลำดับ) ทั้งนี้ปัญหาผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปแม้ในประเทศที่เจริญแล้ว เพราะลูกหลานอพยพเข้าไปทำงานในเมืองใหญ่กันหมด ขณะที่ประชากรเกิดใหม่ก็ลดน้อยลงเรื่อยๆ
เป็นอีกเรื่องใหญ่ที่ภาครัฐของไทยต้องเตรียมรับมือ!!!
ธัญญา อุตธรรมชัย
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี