เรื่อง “ดราม่า” ว่าด้วย “สถาบันการศึกษา” นั้นดูเหมือนจะกลายเป็นสิ่งที่ “คุ้นหู-ชินตา” สำหรับคนไทยไปเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็นระหว่างมหาวิทยาลัยของรัฐที่ต้องสอบเข้า กับมหาวิทยาลัยอื่นๆ ทั้งของรัฐและเอกชนที่ไม่ต้องสอบเข้า หรือแม้แต่มหาวิทยาลัยของรัฐที่ต้องสอบเข้าด้วยกันเอง ก็มีการ “แบ่งชนชั้น”ว่าเป็นมหาวิทยาลัยระดับ “ท็อป” หรือมหาวิทยาลัยระดับธรรมดา ซึ่งชื่อชั้นมหาวิทยาลัย หลายคนบอกว่าถึงขั้น “ชี้อนาคต” ผู้เรียนได้เลยทีเดียว
ดังตัวอย่างของ “ราชภัฏ” มหาวิทยาลัยที่ถูกยกระดับขึ้นมาจาก “วิทยาลัยครู” เดิม ซึ่งน่าจะเป็นสถาบันที่ถูก “ค่อนขอด” จากสังคมมากที่สุดไม่ว่าจะด้วย“คุณภาพ” ของผู้เรียนและผู้สอน เห็นได้จากเรื่องเล่ามากมายเกี่ยวกับบริษัทห้างร้านหลายแห่ง มัก “กาหัว” เด็กราชภัฏไว้ก่อนแล้วว่า “ไม่ได้เรื่อง” แล้วก็ไม่ค่อยจะรับเข้าทำงาน หรือถึงจะรับ ก็ตั้งเงื่อนไขไว้สูง เช่นต้องได้เกรดดีกว่าสถาบันชั้นนำมากๆ เป็นต้น
“รณพัฒน์” อดีตเด็กราชภัฏที่ตัดสินใจ “ซิ่ว” มาเรียนปี 1 ใหม่ที่มหาวิทยาลัยบูรพา กล่าวว่า แม้วันนี้ตนจะเปลี่ยนสถานที่เรียน แต่ไม่ได้เป็นเพราะรู้สึกไม่ดีกับราชภัฏ เพียงแต่ ม.บูรพานั้น “ใกล้บ้าน”สะดวกในการเดินทางและประหยัดค่าใช้จ่ายมากกว่า ซึ่งประสบการณ์ตอนเรียนที่ราชภัฏ พบว่าการเรียนการสอนนั้นเน้น “ปฏิบัติจริง”ฝึกให้ “ทำงานเป็น” มากกว่าทฤษฎีในห้องเรียน
จึงไม่อยากให้สังคม “ปรามาส” เด็กราชภัฏว่า “ด้อยคุณภาพ” แบบเหมารวม!!!
“ผมเชื่อว่าราชภัฏทำได้ดีไม่แพ้สถาบันอื่น แต่เพราะอีโก้ที่คนอื่นมองว่าจบแค่ราชภัฏ จบ ม.เอกชน หรือจบจากมหา’ลัยอันดับต้นๆ ทำให้มองเพียงแค่ระดับสมอง ไม่ได้มองถึงการปฏิบัติงาน ถ้าให้แข่งกันทำงานไม่ใช่แข่งเรียนระหว่าง มหาวิทยาลัยต่างๆ กับ ราชภัฏ ผมมั่นใจว่าศักยภาพของเด็กราชภัฏจะเป็นที่ประจักษ์แก่สังคมแน่นอน
เท่าที่ผมเคยสัมผัสระหว่างที่อยู่ในรั้วราชภัฏ อาจารย์ท่านไม่สนว่าคุณจะจบมัธยมหรือสายอาชีพมา ทุกคนต้องปฏิบัติงานเหมือนกันหมด คือ เรียนทฤษฎี ปฏิบัติงานจริงและสัมผัสเครื่องมือ เพื่อให้เราคุ้นเคยและรับมือกับสถานการณ์ความกดดันในการทำงานได้ทุกรูปแบบ นี่เองจึงเป็นสิ่งที่ผมรู้สึกได้ว่า การเรียนราชภัฏไม่ใช่ว่าใครก็เข้าและจบออกมาได้ง่ายๆ ดังนั้นราชภัฏจึงเป็นอีกทางเลือกทางการศึกษาระดับอุดมศึกษาอีกที่หนึ่ง” หนุ่มรายนี้ กล่าว
เช่นเดียวกับ วลัยลักษณ์ สงวนญาติ ศิษย์เก่าราชภัฏอีกราย เธอกล่าวว่า การเรียนราชภัฏต่างจากที่อื่นก็ตรงที่ให้ฝึกปฏิบัติงานจริงโดยที่ไม่ต้องรอเลื่อนชั้น เพียงแค่สนใจและลงมือปฏิบัติก็พอ จากการศึกษาในรั้วราชภัฏ ทำให้ได้สัมผัสถึงการทำงานที่มีมากกว่าทฤษฎีในห้อง ซึ่งเป็น “ข้อเด่น” ของราชภัฏเลยก็ว่าได้ ที่สอนให้เด็กค้นหาตัวตนว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร ก่อนที่จะเลือกเรียนสาขาต่อไปในชั้นปีที่สูงขึ้น
“ระหว่างที่เรียนอยู่นั้นรู้เพียงว่าชอบวาดรูปออกแบบเสื้อผ้าและบ้าน แต่พออาจารย์ได้เห็นรูปที่วาดก็ได้ส่งให้เราไปอยู่บริษัทของเพื่อน เพื่อไปเรียนรู้ขั้นตอนการทำงานจริงๆ ว่าการออกแบบนั้นมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง สุดท้ายก็พบว่าเราชอบที่จะออกแบบสวน เพราะเวลาที่อยู่กับมันเรากับรู้สึกผ่อนคลายทุกครั้ง ดังนั้นจึงตั้งใจเรียนประสบการณ์งานจากเพื่อนของอาจารย์ เพื่อจะไม่ให้เสียโอกาสที่ท่านเห็นแววและส่งเรามาทำงานจริงๆ” วลัยลักษณ์ ระบุ
ด้าน กนกรักษ์ บัณจงษร นักศึกษาชั้นปีที่ 3 มหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา ให้ความเห็นว่า สถานประกอบการต่างๆ ควรจะเลิก “อคติ”กับบุคคลเพียงเพราะชื่อชั้นของสถาบันการศึกษาได้แล้ว เพราะมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งมี “แนวทาง” ที่ต่างกัน บางแห่งเน้นทฤษฎีเป็นหลักก่อนแล้วค่อยนำไปสู่การปฏิบัติ แต่บางแห่งก็เน้นเรียนรู้จากประสบการณ์จริงก่อนแล้วค่อยนำทฤษฎีมาเสริมความเข้าใจ
ซึ่งคำสอนของอาจารย์ท่านหนึ่ง ทำให้เขาไม่รู้สึก “น้อยเนื้อต่ำใจ” ในความเป็น “เด็กราชภัฏ”!!!
นั่นคือ “จงขยันให้คนเก่งกลัว” เพราะไม่ว่าจะจบที่ไหนมา เมื่อไปทำงานก็ต้อง “วัดกันใหม่” หน้างานอยู่ดี!!!
“การเรียนเก่งสอบติดสถาบันอันดับ 1 ของประเทศไม่ใช่หมายถึงคุณจะเอาตัวรอดจากสังคมหรือการปฏิบัติงานจริงได้ แต่จงเก่งในแบบที่เป็นเรา คือขยันและอดทน ผมจำคำสอนของอาจารย์ท่านนี้ได้อย่างขึ้นใจ เพราะเป็นสิ่งที่การันตีพวกเราได้ว่า เรามีแรงกายที่อดทนต่อทุกสภาวะถึงแม้ด้านสติปัญญาอาจสู้คนเก่งในสถาบันดังๆ ไม่ได้ แต่ถ้าเรื่องงานหนักเราลุยไม่ถอย
ที่ผมเลือกมาเรียนราชภัฏไม่ใช่เพราะผมสอบไม่ติดหรือไม่มีที่จะเรียน แต่เป็นเพราะครูที่เคี่ยวเข็ญสอนผมจนจบมัธยม ท่านจบจากสถาบัน
แห่งนี้ ทำให้ผมคิดได้ว่าไม่ว่าเราจะจบจากสถาบันไหน เกรดเฉลี่ยเท่าไร ก็สามารถนำความรู้ ความสามารถมาใช้ในการทำงานได้จริง จึงอยากฝากไปถึงผู้ประกอบการว่า มันหมดยุคแบ่งชนชั้นไปตั้งนานแล้ว อย่ามองแค่ว่าเราจบจากที่ไหน แต่จงมองที่ความสามารถของพวกเรา ถ้ารับเข้าทำงานแล้วเราจะสร้างประโยชน์อะไรให้แก่ธุรกิจของคุณบ้าง อย่าตัดโอกาสเราเพียงเพราะสถาบันที่เราจบ” กนกรักษ์ ฝากทิ้งท้าย
จากประเด็นธนาคารแห่งหนึ่งประกาศรับสมัครพนักงานเฉพาะจากสถาบันชั้นนำบางแห่งเมื่อไม่นานมานี้ ทำให้เกิดการถกเถียงขึ้นในสังคม โดยฝ่ายหนึ่งมองว่าเป็นสิทธิของสถานประกอบการที่สามารถทำได้ และยังดีกับผู้สมัครงานด้วยซ้ำที่จะได้ไม่ต้อง “รอเก้อ” ไปสมัครแล้วถูก “คัดทิ้ง” เป็นการภายใน
ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งมองว่าไม่เหมาะสม เพราะเป็นการ “ไม่ให้โอกาสคน” อีกทั้งยกตัวอย่างองค์กรหลายแห่งทั้งในและต่างประเทศ ที่คัดคนจาก “แบบทดสอบ” เมื่อมาสมัครงาน ซึ่งมีทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติรวมถึงการสัมภาษณ์ด้วยเกณฑ์วัดซึ่ง “เชื่อถือได้” สามารถอธิบายต่อผู้สมัครงานได้ว่า “รับ-ไม่รับ” เข้าทำงานเพราะสาเหตุใด จึงไม่จำเป็นต้อง “กีดกัน”ตั้งแต่แรก
อย่างไรก็ตาม..ชาวราชภัฏเองก็ต้อง “พิสูจน์ตนเอง” ด้วยว่า “ทำได้” เมื่อได้รับโอกาสนั้น!!!
เพราะต้องไม่ลืมว่า..สถาบันชั้นนำทั้งหลาย ก็ใช้เวลา “สร้างชื่อเสียง” มาอย่างยาวนานเช่นกัน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี