“การเดินทาง” ถือเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ทุกคนต้องเคยทำ ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ใดก็ตาม บางคนอพยพหนีความลำบากจากบ้านเกิดไปหาโอกาสในดินแดนใหม่ บางคนต้องการไปศึกษาหาความรู้ บางคนออกท่องเที่ยวเพื่อเพิ่มพูนประสบการณ์ชีวิต เป็นต้น และเมื่อพูดถึงการเดินทางแล้ว “ประเทศไทย” ถือเป็น “จุดหมายสำคัญ”แห่งหนึ่งของโลก ไม่ใช่แต่เฉพาะเพื่อนบ้านอาเซียนบางชาติที่เข้ามาหางานทำเท่านั้น ทว่ายังมีกลุ่มที่เข้ามาศึกษาเล่าเรียน และไม่ได้มีแต่เพียงชาวอาเซียน แต่ยังมีชาติอื่นอีกมากมายที่เดินทางเข้ามาในดินแดนขวานทองแห่งนี้
ที่งานประชุมวิชาการ “ประชากรและสังคม 2558” เมื่อเดือน ก.ค. 2558 ณ โรงแรมเอเชีย ราชเทวี กทม. คณะนักวิชาการจากสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล นำโดย รศ.ดร.ปัทมา ว่าพัฒนวงศ์ ทำการศึกษาเรื่อง “ชาวต่างชาติในเมืองไทยเป็นใครบ้าง” อ้างอิงการสำรวจสำมะโนประชากรเมื่อปี 2553 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่า ณ วันที่ 1 ก.ย. 2553 มีชาวต่างชาติอยู่ในประเทศไทย 2,581,141 คน เป็นชาย 1,434,764 คน เป็นหญิง 1,146,377 คน ในจำนวนนี้ ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 71.5 เป็นชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน)
รองลงมาร้อยละ 9.7 เป็นชาวเอเชียตะวันออก อันดับ 3 ร้อยละ 7.8 เป็นชาวยุโรป อันดับ 4 ร้อยละ 4.5 ไม่มีสัญชาติ อันดับ 5 ร้อยละ 3.0 เป็นชาวเอเชียใต้ อันดับ 6 ร้อยละ 1.8 เป็นชาวอเมริกาเหนือ อันดับ 7 ร้อยละ 1.6 สัญชาติอื่นๆ และอันดับ 8 ร้อยละ 0.1 ไม่ทราบสัญชาติแน่ชัด
แน่นอนว่าเป็นไปตามที่หลายคนคาด คือ เมียนมา ครองแชมป์จำนวนชาวต่างชาติที่อยู่ในไทยมากที่สุด โดยมีถึง 1,292,686 คน ตามมาด้วย กัมพูชา 281,292 คน และ สปป.ลาว 222,432 คน ขณะที่ชาวต่างชาตินอกอาเซียน สาธารณรัฐประชาชนจีน อยู่ในไทยมากที่สุดถึง 141,553 คน รองลงมาคือ สหราชอาณาจักร 85,836 คน ส่วนอันดับ 3 คือ ญี่ปุ่น 80,898 คน กระจายกันอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ และส่วนใหญ่เดินทางเข้ามาเพื่อทำงาน
“ชาวต่างชาติจะเป็นชายมากกว่าหญิง ยกเว้นเฉพาะกลุ่มที่มาจากอเมริกากลางหรือใต้ที่จะเป็นหญิงมากกว่าชาย ส่วนใหญ่ก็กระจายไปทั่วภูมิประเทศแต่จังหวัดที่มีมากที่เป็นศูนย์กลางก็จะเป็น กรุงเทพฯ ปริมณฑล และจังหวัดที่เป็นชายแดนติดพม่า หรือจังหวัดสุราษฎร์ธานี และนครแถวนั้นนะคะ และมากกว่าครึ่งที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปคือวัยทำงาน ส่วนใหญ่จะป็นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ร้อยละ 90 ก็จะทำงานทั้งหมด
ในขณะที่ ยุโรปตะวันตกกับเอเชียตะวันออก พวกญี่ปุ่น ไม่ทำงานเยอะกว่าคนทำงาน ส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุ มันก็จะสอดคล้องกับคนที่เข้ามาทำงาน ผู้ที่เข้ามาทำงาน ร้อยละ 80 ส่วนใหญ่จะเป็นลูกจ้างเอกชน คือกลุ่มพม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา” ดร.ปัทมา กล่าว อย่างไรก็ตาม เธอย้ำว่าการเก็บข้อมูลของไทยยังมีปัญหาอยู่บ้าง เช่นชาวต่างชาติที่ได้รับสัญชาติไทย ในจุดนี้หากนิยามคำว่า “ชาวต่างชาติ” ด้วยคำว่า “สัญชาติ” ชาวต่างชาติกลุ่มนี้ก็จะถูกนับรวมในฐานะคนไทยคนหนึ่งไปด้วย
นอกจากการเข้ามาทำงานแล้ว “การศึกษา” ก็เป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่ชาวต่างชาติเลือกเดินทางเข้ามาในประเทศไทย ดังการศึกษาของ ดร.ธีระพงศ์ สันติภพ หัวข้อ “นักศึกษาต่างชาติที่ศึกษาระดับบัณฑิตศึกษาในประเทศไทย พ.ศ.2554-2555” อ้างอิงข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการอุดมศึกษา (สกอ.) สำรวจระหว่างเดือนก.ค. 2554-ก.ค. 2555 ทั้งระดับปริญญาโทและปริญญาเอก
ในระดับปริญญาโท สาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นชาติที่มาศึกษาในไทยมากที่สุดถึงร้อยละ 21.8 ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่าง สปป.ลาว ที่มีเพียงร้อยละ 12.9 ส่วน เมียนมา ตามมาเป็นอันดับ 3 ร้อยละ 10.7 อันดับ 4 เวียดนาม ร้อยละ 8.6 และอันดับ 5 อินโดนีเซีย ร้อยละ 4.9 ขณะที่ระดับปริญญาเอก อินโดนีเซีย เป็นชาติที่มาศึกษาในไทยมากที่สุด ร้อยละ 13.6 รองลงมาเป็นสาธารณรัฐประชาชนจีน ร้อยละ 11.4 อันดับ 3 สปป.ลาว ร้อยละ 10.3 อันดับ 4 เวียดนาม ร้อยละ 10.1 และอันดับ 5 เมียนมา ร้อยละ 9.6
เมื่อถามว่ามาเรียนที่ไหนกันบ้าง? พบว่า มหาวิทยาลัยมหิดล ครองแชมป์สถาบันยอดนิยมของนักศึกษาต่างชาติทั้ง 2 ระดับ โดยระดับปริญญาโทอยู่ร้อยละ 11.9 และระดับปริญญาเอกอยู่ที่ร้อยละ 19.3 อันดับ 2 ในระดับปริญญาโทคือ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) ร้อยละ 10.4 เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนแห่งเดียวที่ติด 1 ใน 3
ขณะที่อันดับ 2 ในระดับปริญญาเอกคือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร้อยละ 14.8 ส่วนอันดับ 3 ในระดับปริญญาโท
คือ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร้อยละ 10.1 และอันดับ 3 ในระดับปริญญาเอกคือ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ ร้อยละ 11.2
“นักศึกษาปริญญาโทที่มาจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่แล้วมาจากนักศึกษาประเทศอาเซียน ส่วนปริญญาเอกก็จะเป็นนักศึกษาจากอินโดนีเซีย ห่างจากจีนเพียง 2.2 ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก สำหรับปริญญาเอกห่างกันบ้างแต่ไม่มากนัก เพราะไม่ได้เปิดสอนทุกมหา’ลัย ส่วนใหญ่นักศึกษาที่มาศึกษาจะเป็นด้าน รัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ในทางด้านวิทยาศาสตร์ก็จะเป็นวิทยาศาสตร์สุขภาพ ซึ่งก็เป็นคำถามที่ว่าทำไมมหา’ลัยเอกชนถึงมีนักศึกษาต่างชาติมาเรียนมาก เพราะว่าเขาสนใจด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพเยอะ” ดร.ธีระพงศ์ ระบุ
แม้จะเป็นเรื่องดีที่มีชาวต่างชาติเข้ามาในประเทศไทย ทั้งในแง่เศรษฐกิจในฐานะแรงงานและนักท่องเที่ยว หรือในแง่ชื่อเสียงของไทยด้านการศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา แต่อีกด้านหนึ่ง การเดินทางของชาวต่างชาติเหล่านี้ได้นำพาปัญหา อาชญากรรมข้ามชาติ เข้ามาด้วย ดังการศึกษาของ ดร.สักกรินทร์ นิยมศิลป์ หัวข้อ “อาชญากรรมข้ามชาติ : ภัยคุกคามไทยและอาเซียน” ว่าด้วยกลุ่มแก๊งชาติต่างๆ ที่เข้ามาหาผลประโยชน์อย่างผิดกฎหมายในไทย โดยเฉพาะปัญหา การค้ามนุษย์ ที่ไทยนั้นเป็นทั้งประเทศปลายทางและประเทศทางผ่าน
ดร.สักกรินทร์ สรุปถึงอุปสรรคสำคัญ 3 ประการ ที่ทำให้ไทยและภูมิภาคอาเซียนไม่สามารถต่อสู้กับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติได้ คือ 1.ขาดความร่วมมือในเชิงปฏิบัติการร่วมกัน ส่วนใหญ่มักร่วมกันในด้านการฝึกอบรม และการปรับปรุงประสิทธิภาพหน่วยงานต่างๆ ด้านการยุติธรรม ซึ่งเป็นมาตรการแบบระยะยาวมากกว่า
2.ธรรมเนียม “ไม่ก้าวก่ายซึ่งกันและกัน” ของประชาคมอาเซียน ขณะที่องค์กรอาชญากรรมนั้นมีฐานปฏิบัติการอยู่ในหลายประเทศ โดยสิ่งที่อาเซียนควรทำ คือการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรอง เบาะแสของกลุ่มแก๊งต่างๆ ในภูมิภาค และ 3.องค์กรอาชญากรรมมีความซับซ้อน สมาชิกกลุ่มแก๊งเหล่านี้มักจงรักภักดีกับองค์กรของตนอย่างสูง มีทั้งฝ่ายปฏิบัติการและฝ่ายสนับสนุนประสานงานกัน เช่น ร้านทอง ร้านรับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐมักทำงานกันแบบต่างคนต่างทำ ไม่บูรณาการทุกหน่วยงานเข้าด้วยกันทั้งในประเทศและระหว่างประเทศ
“ที่ผ่านมาแม้จะมีกลไกแก้ไขต่างๆ โดยมีการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านอาชญากรรมข้ามชาติ แต่ว่ายังขาดประสิทธิภาพ ขณะที่องค์กรอาชญากรรมเหล่านี้มีความคล่องตัวยืดหยุ่น ทำทุกอย่าง มีการข่มขู่พยานเพื่อไม่ให้สาวไปยังต้นตอ ควรมีการปรับปรุงกฎหมายให้มีความทันสมัยสอดคล้อง บังคับใช้กฎหมายให้ได้จริงๆ และประชาชนก็ต้องเข้ามาดูแลเป็นหูเป็นตา และหน่วยงานเอกชนก็ต้องดูว่ามีความโปร่งใสจริงไหม” ดร.สักกรินทร์ ฝากทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี