ฐานันดรที่ 4...คำที่สังคมใช้ยกย่อง “สื่อมวลชน” ในฐานะวิชาชีพที่ทำประโยชน์หลายประการ ทั้งการแสวงหาความจริงมานำเสนอ หรือการเป็นคนกลางช่วยประสานงานระหว่างประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนกับหน่วยงานของรัฐผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในเรื่องนั้นๆ ดังจะเห็นได้จากดัชนีความโปร่งใสของแต่ละประเทศ มักจะมีหัวข้อ “เสรีภาพสื่อ” บรรจุอยู่ด้วยเป็นตัวชี้วัด
หนึ่งเสมอ
อย่างไรก็ตาม...หากมองโลกตามความเป็นจริง ต้องยอมรับว่าคนทำสื่อไม่ว่าจะในฐานะเจ้าของกิจการหรือนักวิชาชีพ ย่อมหนีไม่พ้นความเป็น“ปุถุชน” เป็นคนธรรมดาที่ต้องกินต้องใช้ ต้องมีรายได้เลี้ยงตนเองและครอบครัวไม่ต่างจากอาชีพอื่นๆ ดังนั้นจึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับ “ทุน” ไม่มากก็น้อย ยิ่งในยุคปัจจุบันที่มีสื่อมากมายหลายประเภททั้งหน้าเก่าหน้าใหม่ การแข่งขันก็ยิ่งดุเดือดทวีคูณ
จนบางครั้งสื่อเองก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมว่า “ล้ำเส้น” ไปบ้างในหลายกรณี!!!
ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพ.ค. 2558 ที่ผ่านมา ในงานสัมมนา “การตลาดสื่อปะทะอุดมการณ์สื่อยุคดิจิทัล” ณ มหาวิทยาลัยรังสิต ณ กาฬ เลาหะวิไลย รองบรรณาธิการบริหารกลุ่มโพสต์ ในฐานะคนข่าวที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน กล่าวสรุปถึงสิ่งที่ผู้ต้องการทำงานด้านสื่อมวลชนต้อง “รักษาสมดุล” ให้ได้อยู่ 4 ด้าน ดังนี้
1.จรรยาบรรณและอุดมการณ์ ถือเป็นสิ่งที่สำคัญเป็นอันดับแรก เพราะวงการสื่อนั้นต้องถือว่า “แคบ” ไม่ว่าจะทำงานอยู่ที่โทรทัศน์ช่องใด วิทยุคลื่นใด หรือหนังสือพิมพ์ฉบับใด ส่วนใหญ่จะรู้จักกันหมดทั้งสิ้น ดังนั้นหากเข้ามาแล้วทำผิดอย่างร้ายแรงเพียงครั้งเดียว ต้องบอกว่า “อนาคตดับ” ทันที และยากที่จะกลับเข้ามาสู่วงการนี้ได้อีก
“ถ้าคุณเน่าทีเดียวคุณจะเหม็นไปตลอดชีวิต และอนาคตจะดับตั้งแต่วันนั้น เพราะฉะนั้นสมบัติที่มีค่า
ที่สุดในการทำงานคือชื่อเสียง ชื่อเสียงของคุณก็มาจากการทำงาน ความซื่อตรงต่อวิชาชีพอย่างแรกสำหรับ
คนทำสื่อ ต้องยึดถือคือจรรยาบรรณกับอุดมการณ์”
คนข่าวอาวุโสรายนี้ กล่าว
2.กลุ่มผู้บริโภค เป็นสิ่งที่ต้องคำนึงประการต่อมา เพราะคนทำสื่อก็ต้องหวังให้มีผู้สนใจติดตาม ฉะนั้นคนทำสื่อด้านหนึ่งก็ต้องรู้จัก “วิเคราะห์ผู้บริโภค” ให้เป็นว่าอะไรคือสิ่งที่เขาสนใจ แต่อีกด้านหนึ่งก็ต้องเลือกสรรในสิ่งที่ “เป็นประโยชน์” กับผู้บริโภคด้วย
3.ทุน ไม่ว่าจะเป็นทุนทั่วไป หรือทุนขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งในความเป็นจริงก็มิใช่ “มหาชน” ดังชื่อ แต่มีผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้ถือหุ้นรองๆ ลงมา และ 4.โฆษณา ก็เช่นเดียวกับเรื่องของทุน ซึ่งทั้งเจ้าของทุนและผู้ลงโฆษณา เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อต้องรู้จัก “ผ่อนสั้นผ่อนยาว” ให้เป็น
อะไรพอทำได้ก็ทำไป ตราบเท่าที่ยังไม่หมิ่นเหม่ต่อจรรยาบรรณของวิชาชีพ!!!
“ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าสื่อมวลชนที่เป็นขนานใหญ่ ลงทุนเยอะๆ เขาใช้ทุนมหาศาล ทีวีดิจิทัลหมดไปเป็นพันล้าน ก็เพราะมีเงินเจ้าของทุน เอาทุนที่ไหนล่ะ? บริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์บอกเป็นของมหาชน ไม่จริงหรอกมันเป็นความฝัน เขามีผู้ถือหุ้นใหญ่
อีกอันผมอยากเรียกว่าเงินโฆษณา โฆษณาคือหัวใจของการทำสื่อ ถ้าเป็นสื่อที่ใช้เงินทุนนะ ไม่ได้ใช้เงินจากการสมทบการบริจาค หนังสือพิมพ์เป็นสื่อที่มีต้นทุน 15 บาท ขาย 10 บาท จะอยู่ได้ไง ก็อยู่ได้ด้วยโฆษณา วิทยุโทรทัศน์ก็เช่นกัน เพราะฉะนั้นไม่มีทางที่เราจะปฏิเสธเม็ดเงินโฆษณาได้ เพราะทำสื่อมาเราต้องอยู่ในโลกส่วนนี้เสมอ
เราก็ต้องอยู่กับทุน ต้องดีลกะเขา ผ่อนสั้นยาว ดึงออกกันได้ แต่ว่าต้องมีเส้นๆ หนึ่งที่จุดนี้เราไม่ไหว โฆษณาก็เช่นกัน นักข่าวภาคสนามก็ให้เต็มที่กับอุดมการณ์ แต่ต้องลงให้หัวหน้าข่าว พอเป็น บก. ก็ต้องนึกถึงโฆษณา มันเป็นชีวิตจริงของคนทำสื่อ ตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน อนาคต เพียงแต่อาจจะเปลี่ยนผู้อ่านก็อาจจะมีทุนของประชาชนเข้ามา โฆษณาก็เปลี่ยนแต่โครงสร้างก็เป็นแบบนี้” รองบรรณาธิการบริหารกลุ่มโพสต์ ให้ความเห็น
เพราะไม่ง่ายที่ “สื่อ” จะเป็นอิสระจาก “ทุน” และทุนก็ไม่ได้มาจากกลุ่มเดียวหรือภาคส่วนเดียว ดังที่ ธาม เชื้อสถาปนศิริ นักวิจัยชำนาญการ สถาบันวิชาการสื่อสาธารณะ (สวส.) แบ่งทุนออกเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.ทุนจากภาคธุรกิจ หรือโฆษณาสินค้าและบริการจากบริษัทห้างร้านต่างๆ อันเป็นทุนก้อนใหญ่ที่สุด 2.ทุนจากภาครัฐ หรือการโฆษณาหน่วยงานของรัฐผ่านสื่อมวลชน
และ 3.ทุนจากประชาชน หรือที่เรียกว่า “กระแสสังคม” ซึ่งมีผลมากไม่แพ้ 2 กลุ่มข้างต้น เห็นได้จากสื่อมักต้องนำเสนอประเด็นในแง่“ดราม่า” สะเทือนอารมณ์ความรู้สึกของผู้รับสารเข้าไว้ เพื่อเรียก “เรตติ้ง” ยิ่งมีเรตติ้งมากเท่าใด ก็จะมีผลให้ธุรกิจต่างๆ ตัดสินใจซื้อโฆษณามากขึ้นเป็นเงาตามตัว
“เขาบอกว่าสื่อกำเนิดมาเป็นฐานันดรที่ 4 เพื่อมานำเสนอข่าว เพื่อประโยชน์ต่อสาธารณะ องค์กรอาจใช้สื่อเป็นกระบอกเสียงว่าเป็นบริษัทเอกชน หากำไรกับตัวข้อมูลข่าวสาร เพราะฉะนั้นทิศทางของข้อมูลข่าวสาร อาจถูกแทรกแซงโดยกองบรรณาธิการก็ได้ ทิศทางข่าวก็ต้องเป็นไปตามนโยบายขององค์กร ถูกแทรกแซงจากเจ้าของทุน แทรกแซงจากบริษัทเอกชน โดนซื้อตัวสนับสนุน ชี้ทางข่าวแบบนี้
แล้วก็ยังโดนจากมวลชนอีก คนที่ชอบข่าวดราม่า เดี๋ยวพวกเว็บข่าวก็ชอบพาดหัวข่าวให้ได้เรตติ้งของคนอ่าน เช่น ...คุณจะต้องไม่เชื่อแน่ๆ ว่าจะเกิด... คุณก็จะโดนแทรกแซง โดนชี้นำจากทุนของฝั่งประชาชนเหมือนกัน” นักวิชาการด้านสื่อรายนี้ ระบุ
จากปัญหาข้างต้น อาจารย์ธามเล่าต่อไปว่า ในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา เริ่มเกิด “สำนักข่าวรูปแบบใหม่” ที่ไม่พึ่งทุนรายใหญ่โดยตรงไม่ว่าจากภาคธุรกิจหรือภาครัฐ แต่พึ่งพาเงินสนับสนุนจาก “กลุ่มผู้บริโภค” ที่สนใจเรื่องเดียวกันโดยตรง ซึ่งถือเป็นต้นแบบที่น่าศึกษาไม่น้อย
“ตอนนี้ในประเทศอเมริกา เขามีการเสนอข่าวแบบไม่ต้องแคร์ทุน คือใช้ทุนแค่จำนวนหนึ่ง เช่น จะทำทีวี.สักช่องหนึ่งจะหาคนที่จะสนับสนุนทีวี.ช่องนี้หรือสำนักข่าวช่องนี้บ้าง ผมมีสต๊าฟข่าว 20 คน จะทำข่าวเฉพาะเรื่องแบบนี้ๆ เท่านั้น มีเจ้าของทุนมาจากผู้อ่านโดยตรง ไม่จำเป็นต้องมีโฆษณา”
อาจารย์ธามยกตัวอย่าง และฝากคำถามทิ้งท้ายไว้ว่า “คนทำสื่อจะรักษาสมดุลระหว่างอุดมการณ์กับทุนได้อย่างไร?” เพราะถ้าอยู่ใกล้ทุน อิงกับทุนมากเกินไป ก็ไม่มีเสรีภาพที่จะทำงานได้อย่างตรงไปตรงมา แต่หากอยู่ไกลทุน ห่างกับทุนมากเกินไป สื่อก็ไม่อาจทำงานตามหน้าที่ได้ เพราะไม่มีใครมาสนับสนุนค่าใช้จ่ายต่างๆ
ทั้งหมดนี้คือ “ความท้าทาย” ที่คนวิชาชีพสื่อมวลชนไม่ว่า “หน้าเก่า-หน้าใหม่” ต้องเจอ!!!
ชนัดดา บุญครอง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี