เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะถึงวันที่ สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) จะลงมติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญกันแล้ว ซึ่งคาดว่าจะมีการลงมติประมาณวันที่ 5-7 ก.ย. 2558 ทั้งนี้รัฐธรรมนูญก็ดี กระแสการปฏิรูปก็ดี เป็นเรื่องที่ได้รับความสนใจจากทุกภาคส่วน มีข้อเสนอ-ข้อคิดเห็นต่างๆ มากมาย รวมถึงสมาคมนักปกครองแห่งประเทศไทย ด้วยเช่นกัน ได้นำเสนอแนวทางการปฏิรูปในส่วนที่ตนเกี่ยวข้องคือ ราชการส่วนภูมิภาค มาหลายประเด็นดังนี้
1.กรณีข้อเสนอว่าด้วย พ.ร.บ.จังหวัดจัดการตนเอง สมาคมนักปกครองแห่งประเทศไทย ทำการคัดค้านเรื่องนี้มาโดยตลอด เพราะสุ่มเสี่ยงที่จะเป็นการยกเลิกมรดกทางการปกครอง ซึ่งประเทศไทยนั้นมีความเป็น “รัฐเดี่ยว” มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 มีการแบ่งการปกครองออกเป็น 3 ระดับ คือส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น มรดกทางการปกครองนี้มีประสิทธิภาพเสมอมา สามารถทำให้ประเทศรอดพ้นจากภัยคุกคามต่างๆ มาได้นับร้อยปี
สมาคมจึงอยากให้มีการบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญด้วยว่า “..ราชอาณาจักรไทยเป็นรัฐเดี่ยวมิใช่สาธารณรัฐ โดยมีโครงสร้างการจัดการปกครองเป็น 3 รูปแบบ คือราชการส่วนกลาง ราชการส่วนภูมิภาค ราชการส่วนท้องถิ่น..” ซึ่งราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคเป็นข้าราชการอาชีพ จากการแต่งตั้งโดยอำนาจฝ่ายบริหาร ใช้ระบบคุณธรรมในการสรรหา และอยู่ภายใต้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ในการโปรดเกล้าฯแต่งตั้งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่
ส่วนราชการส่วนท้องถิ่นได้มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมจากประชาชน ไม่ควรเลือกตั้งทางตรง เพราะราชการส่วนท้องถิ่นควรจำลองมาจากราชการส่วนกลาง ซึ่งราชการส่วนกลางของไทยนั้นเป็นแบบรัฐสภาที่มีการเลือกนายกรัฐมนตรีทางอ้อม (จากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร) ไม่ใช่แบบประธานาธิบดีที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีทางตรง (จากประชาชน)
ส่วนที่มีการสร้างกระแสว่าผู้มีอำนาจบริหารในระดับต่างๆ ควรมาจากการเลือกตั้งเพื่อเชื่อมโยงกับประชาชน สมาคมขอทำความเข้าใจกับสาธารณชนว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยทุกฉบับรวมถึงฉบับที่กำลังยกร่างอยู่ในขณะนี้ จะมีบทบัญญัติว่า “..ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข..” ซึ่งหมายความว่าอำนาจอธิปไตยมีฐานมาทั้งจากประชาชนและพระมหากษัตริย์ ไม่ใช่ของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงฝ่ายเดียว อันเป็นผลมาจากการปฏิวัติ พ.ศ.2475
ดังนั้นคำว่า “เชื่อมโยงกับประชาชน” สมาคม เห็นว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ก็เชื่อมโยงกับประชาชนอยู่แล้ว ประชาชนต่างมีความจงรักภักดีต่อสถาบัน และนักปกครองในราชการส่วนภูมิภาค ก็ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งจากพระมหากษัตริย์ ย่อมจะต้องยึดโยงกับประชาชนเช่นกัน
2.การส่งเสริมให้ทุกส่วนราชการใช้ข้อมูลจาก Smart Card ของกระทรวงมหาดไทย กระทรวงมหาดไทยนั้นมีบทบาทเกี่ยวข้องกับประชาชนโดยตรงตั้งแต่เกิดจนตาย กล่าวคือ เมื่อแรกเกิดก็ต้องไปแจ้งเกิดเพื่อรับสูติบัตร เมื่อโตขึ้นมีอายุตามที่กฎหมายกำหนดก็ต้องไปแจ้งทำบัตรประชาชน และเมื่อตายก็จะต้องไปแจ้งตายเพื่อรับมรณบัตร ทำให้กระทรวงมหาดไทยมีฐานข้อมูลคนไทยค่อนข้างครบถ้วนสมบูรณ์ เช่น ชื่อ-นามสกุลอะไร ภูมิลำเนาอยู่ที่ไหน อายุเท่าใด เป็นต้น
ในอดีตการทำฐานข้อมูลเหล่านี้ใช้เอกสารที่เป็นกระดาษและคนทำงาน แต่ปัจจุบันเมื่อเทคโนโลยีมีความก้าวหน้า ทำให้มีการนำระบบคอมพิวเตอร์มาช่วยในการเก็บข้อมูล เช่น กรมสรรพากร ใช้ฐานข้อมูลจากเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ในการจัดเก็บภาษี หรือโรงพยาบาลของรัฐ ใช้เลข 13 หลักดังกล่าวจัดเก็บค่ารักษาพยาบาลเบิกตรงจากสิทธิ์ที่มี เป็นต้น
ดังนั้น หากหน่วยราชการต่างๆ จะได้ประสานเพื่อใช้ประโยชน์จากฐานข้อมูลการลงทะเบียนบัตรประชาชน ที่กระทรวงมหาดไทยรับผิดชอบอยู่ ก็จะเป็นประโยชน์ในการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนได้ เพราะแค่พกบัตรประชาชนเพียงใบเดียว ก็สามารถติดต่อกับทุกส่วนราชการได้ทันที ขณะที่กระทรวงมหาดไทยเองก็ต้องพัฒนาระบบฐานะข้อมูลทะเบียนราษฎรของประชาชน ให้เป็นแบบ Smart Card ต่อไป
3.การกำกับดูแลองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อปท. นั้นมิใช่องค์กรที่เป็นอิสระ แต่ต้องอยู่ภายใต้ระบบการกำกับดูแลอยู่ด้วยกันทั้งสิ้น เพื่อให้การบริหารเป็นไปด้วยความโปร่งใสตามหลักธรรมาภิบาล (Good Governance) และตอบสนองต่อความต้องการของประชาชนได้อย่างแท้จริง แต่ที่ผ่านมา อปท. บางส่วน มีความเข้าใจว่าองค์กรของตนนั้นเป็นองค์กรปกครองตนเองและไม่ประสงค์จะอยู่ภายใต้การตรวจสอบของผู้ใด โดยเฉพาะไม่ต้องการอยู่ภายใต้การตรวจสอบของราชการส่วนภูมิภาคที่มีผู้ว่าราชการจังหวัดและนายอำเภอเป็นผู้รับผิดชอบ
เห็นได้จากความพยายามจะขอย้ายองค์กรของตนให้ไปสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งไม่สามารถกระทำได้ เพราะเป็นการฝ่าฝืนต่อระบบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 ที่แบ่งการปกครองออกเป็นส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น อีกทั้งตาม พ.ร.บ.ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.2545 (มาตรา 30) กำหนดให้กระทรวงมหาดไทยมีหน้าที่ในการส่งเสริมดูแลรับผิดชอบในการปกครองท้องที่ การพัฒนาท้องถิ่นให้เจริญก้าวหน้า การพัฒนาดูแลสังคมและความอยู่ดีมีสุขของประชาชน
อนึ่ง การปฏิบัติงานของกระทรวงมหาดไทย ที่ผ่านมา
มีความพยายามที่จะกำกับดูแล อปท. เท่าที่จำเป็น และใช้อำนาจอย่างระมัดระวังอยู่แล้ว เพื่อให้ท้องถิ่นมีอิสระและความคล่องตัวในการบริหาร ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับ 2540 และฉบับ 2550 ที่กำหนดให้การกำกับดูแลราชการส่วนท้องถิ่นต้องทำภายใต้ขอบเขตของกฎหมายและทำเท่าที่จำเป็นเท่านั้น อีกทั้งจะย้ายไปสังกัดสำนักนายกรัฐมนตรีได้จริง รัฐบาลก็จะต้องแต่งตั้งบุคลากรออกมากำกับดูแลอยู่ดี ซึ่งเป็นการทำงานซ้ำซ้อน สิ้นเปลืองทั้งงบประมาณและกำลังคน
4.กรณีข้อเสนอการขอโอนการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ไปสังกัดกระทรวงพลังงาน ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก เนื่องจาก กฟน. และ กฟภ. ไม่ใช่หน่วยงานที่ผลิตกระแสไฟฟ้า โดยหน่วยงานที่ทำหน้าที่ผลิตกระแสไฟฟ้าด้วยพลังงานต่างๆ คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) เมื่อผลิตแล้วจึงส่งมาขายให้ กฟน. และ กฟภ. เพื่อให้หน่วยงานทั้ง 2 นำไปบริการประชาชนโดยสังกัดกระทรวงมหาดไทย
เพราะไฟฟ้าถือเป็นปัจจัยดำรงชีพขั้นพื้นฐาน ดังนั้นราคาขายต้องเป็นธรรม ไม่ว่ายากดีมีจนต้องสามารถจ่ายได้ และในหลายประเทศก็มีกฎหมายห้ามตัดกระแสไฟฟ้า แม้จะค้างชำระค่าไฟก็ตาม ดังนั้น จึงไม่ใช่หน้าที่ของกระทรวงพลังงาน หน้าที่ของกระทรวงพลังงานคือการดูแลให้พลังงานต่างๆ ในไทยมีอย่างเพียงพอและมั่นคง ผ่านการกำกับดูแลหน่วยงานในสังกัดเพื่อทำการศึกษาวิจัย โดยเฉพาะในเรื่องของพลังงานทดแทน
(โปรดอ่านต่อฉบับหน้า)
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี