(ต่อจากฉบับที่แล้ว)
นอกจากข้อเสนอถึงร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังจะลงมติในอีกไม่กี่วันนี้ สมาคมนักปกครองแห่งประเทศไทย ยังเสนอแนะว่าด้วยการปฏิรูปกระบวนการบริหารราชการแผ่นดินไว้ด้วยดังนี้
1.การปรับปรุงงานการสอบสวนคดีอาญา ที่ผ่านมามีกรณีการโอนอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย 3 ฉบับ ไปให้ตำรวจทำการสอบสวนได้ฝ่ายเดียว คือ พ.ร.บ.การพนัน, พ.ร.บ.สถานบริการ และ พ.ร.บ.อาวุธปืน โดยมีการอ้างว่าการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองไม่มีประสิทธิภาพ ทั้งที่จริงๆ แล้ว พ.ร.บ.การพนัน ฝ่ายปกครองสามารถจับกุมผู้กระทำผิดได้มากมาย อีกทั้งบางกรณียังพบหลักฐานการจ่ายสินบนให้กับตำรวจด้วย
ขณะที่ พ.ร.บ.สถานบริการ ในจังหวัดอื่นนอกจากกรุงเทพฯ กำหนดให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นนายทะเบียน ดังนั้น การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานฝ่ายปกครองย่อมมีความรู้ความเข้าใจในกฎหมายสถานบริการมากกว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายตำรวจ ส่วน พ.ร.บ.อาวุธปืน ที่มีการกล่าวหาว่านายอำเภออนุญาตให้ประชาชนมีอาวุธปืนเป็นจำนวนมากทำให้เกิดปัญหาอาชญากรรมตามมามากมาย ทั้งที่ข้อเท็จจริงนั้นพบว่าอาวุธปืนที่ใช้ก่ออาชญากรรม ส่วนใหญ่เป็นปืนเถื่อนที่ผู้ก่อเหตุไม่ได้นำมาขออนุญาตครอบครองกับนายอำเภอแต่อย่างใด
2.การปรับปรุงกลไกว่าด้วยการเลือกตั้ง สมาคมนักปกครองแห่งประเทศไทย มีข้อเสนอดังนี้
2.1 สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ควรมีอยู่ต่อไปแต่ลดอำนาจลง โดยการให้ “ใบแดง” เพื่อตัดสิทธิ์ทางการเมืองผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มีพฤติกรรมทุจริตชัดเจน ควรเป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ ส่วน กกต. ทำได้เพียงให้ “ใบเหลือง” หรือการสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ในเขตเลือกตั้งที่มีข้อน่าสงสัยว่าเกิดการทุจริตเท่านั้น แต่ไม่ตัดสิทธิ์ผู้สมัครรายใดรายหนึ่ง
2.2 การจัดการเลือกตั้งควรแบ่งออกเป็น 2 ส่วนโดย กกต. ดูแลด้านนโยบาย ควบคุมการเลือกตั้งให้สุจริตโปร่งใส ส่วนหน่วยปฏิบัติคือ คณะกรรมการดำเนินการจัดการเลือกตั้ง (กจต.) ประกอบด้วยบุคคล 6 คน ที่ได้รับการแต่งตั้งจากปลัดกระทรวงต่างๆ 6 กระทรวง รวมกับผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติอีก 1 คน รวมเป็น 7 คน
เพราะที่ผ่านมา แม้ กกต. จะมีหน้าที่จัดการเลือกตั้งแต่ในทางปฏิบัติต้องขอความร่วมมือบุคลากรจากหลายหน่วยงานให้มาช่วยงานเลือกตั้ง ซึ่งหากเกิดปัญหาขึ้น คนเหล่านี้ที่มาช่วยงานต้องรับผิดทั้งทางวินัยและอาญา แต่เมื่อปฏิบัติหน้าที่ได้ดี กลับไม่ได้รับความชอบ ไม่มีรางวัลตอบแทนเป็นขวัญกำลังใจ ถือว่าไม่เป็นธรรมต่อผู้ปฏิบัติงาน
2.3 กระทรวงมหาดไทย ควรเข้าร่วมภารกิจ กจต.เพราะมีบุคลากรพร้อมในทุกระดับตั้งแต่จังหวัด อำเภอ ตำบล และหมู่บ้าน สามารถระดมมาช่วยงานในหน่วยเลือกตั้งทุกพื้นที่ได้ทันที อีกทั้งกระทรวงมหาดไทย เคยจัดการเลือกตั้งมาอย่างยาวนาน มีความคุ้นเคยเป็นอย่างดี และมีรายงานพบการทุจริตน้อยมาก เพราะคนมหาดไทยทราบดีว่าหากทุจริตหรือทำงานผิดพลาดย่อมเสี่ยงต่อการถูกลงโทษทางวินัย เสียประวัติราชการ หรืออาจถึงขั้นถูกให้ออกจากราชการ อีกทั้งยังอาจต้องถูกดำเนินคดีอาญาด้วย
3.การปรับปรุงกลไกการตรวจคนเข้าเมือง ด้วยความที่ประเทศไทยเป็นประเทศที่ชาวต่างชาตินิยมเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะมาท่องเที่ยวหรือมาทำงาน ดังรายงานการจัดทำทะเบียนประวัติชาวพม่า ลาว และกัมพูชาที่หลบหนีเข้าเมือง โดยกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ตั้งแต่ปี 2547-2553 พบว่ามีคน 3 สัญชาติที่ขึ้นทะเบียน กระจายกันอาศัยอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ 2,581,360 คน ในจำนวนนี้ 1,310,690 คน ขึ้นทะเบียนกับกรมการจัดหางานไปแล้ว แต่ไม่ทราบว่าอีก 1,270,670 คน ที่เหลือไปอยู่ที่ใด
ซึ่งคนกลุ่มนี้บางส่วนอาจสุ่มเสี่ยงว่าจะไปก่อปัญหาต่างๆ เช่น อาชญากรรมลักวิ่งชิงปล้น การค้าประเวณี ค้ามนุษย์ ค้ายาเสพติด หรือการเข้าประเทศมาโดยไม่ผ่านการตรวจสุขภาพ ก็อาจนำโรคติดต่อใหม่ๆ เข้ามาแพร่ระบาดในประเทศไทย ขณะที่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบอย่าง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ก็มีจำนวนบุคลากรที่จำกัด ดูแลได้เพียงด่านตรวจคนเข้าเมืองเท่านั้น ไม่เพียงพอที่จะเข้าไปดูแลในพื้นที่ต่างๆ ได้
ยิ่งถ้าเร็วๆ นี้จะมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) จะมีทั้งชาวต่างชาติทั้งจากในอาเซียนและจากภูมิภาคอื่นๆ ทั่วโลกเข้ามาในประเทศไทยมากขึ้น หากไม่มีกลไกเข้ามารับมือ บุคคลอันตรายต่างๆ ที่จะเข้ามาก่อคดี หรือเป็นผู้หลบหนีคดีอาญาจากต่างประเทศ ก็จะเข้ามาอาศัยในประเทศไทยมากขึ้นไปด้วย ซึ่งกระทบต่อความมั่นคงของชาติเป็นอย่างมาก
สมาคมนักปกครองแห่งประเทศไทย จึงมีข้อเสนอให้โอนงานคนเข้าเมือง ตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522ให้กระทรวงมหาดไทยเป็นผู้รับผิดชอบ เนื่องจากกระทรวงมหาดไทยมีความพร้อม ทั้งฐานข้อมูลทะเบียนราษฎรและบุคลากรตั้งแต่ระดับจังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ร่วมกับเจ้าหน้าที่ของท้องถิ่นกระจายอยู่ทั่วประเทศ ดังนั้นสามารถเฝ้าระวังคนต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อนึ่ง ที่ผ่านมา มีมติคณะรัฐมนตรี โอนภารกิจต่างๆหลายด้าน เช่น พ.ร.บ.โรงแรม, พ.ร.บ.ควบคุมการเรี่ยไร และ พ.ร.บ.โรงรับจำนำ ให้กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย เรียบร้อยแล้ว จึงเสนอให้โอนงานด้านตรวจคนเข้าเมืองไปด้วย ส่วนระยะยาว กระทรวงมหาดไทย ควรตั้งกรมตรวจคนเข้าเมือง รวมถึงพิจารณาแก้ไข พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ศ.2522 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งในส่วนการป้องกันและปราบปรามการเข้าเมืองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และในส่วนการอำนวยความสะดวกให้กับผู้เข้าเมืองโดยชอบด้วยกฎหมาย
4.ควรแยกงานผังเมืองออกจากงานโยธาธิการเพราะงานผังเมืองเป็นงานที่สำคัญมาก ทั้งการกำหนดการใช้ที่ดินให้เกิดประโยชน์ที่สุดต่อประเทศชาติและประชาชนการกำหนดเขตเศรษฐกิจพิเศษ การจัดตั้งอาคารบ้านเรือนต่างๆ ให้ถูกหลักไม่กีดขวางทางน้ำจนทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วม
ดังนั้นกระทรวงมหาดไทย ควรแยกงานด้านผังเมืองออกมาจัดตั้งเป็นกรมใหม่ เพราะผังเมืองเป็นงานที่ต้องพัฒนาความรู้อยู่เสมอ การตั้งกรมการผังเมืองขึ้นมาจะช่วยให้นักวิชาการผู้เชี่ยวชาญด้านผังเมือง สามารถกำกับดูแลและส่งเสริมให้ท้องถิ่นมีความเข้าใจในการวางผังเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ อนึ่ง ด้วยความที่งานด้านผังเมืองและงานด้านโยธาธิการ อยู่ในสังกัดกระทรวงมหาดไทยด้วยกันอยู่แล้ว ย่อมจะทำงานด้วยกันได้อย่างราบรื่น
5.ควรโอนย้ายงานราชทัณฑ์ กลับมาอยู่ที่กระทรวงมหาดไทย เพราะงานราชทัณฑ์นั้น มีเจตนารมณ์เพื่อปรับปรุงพฤติกรรมของผู้ต้องขังก่อนปล่อยตัวกลับคืนสู่สังคม ซึ่งในชุมชนต่างๆ เช่น หมู่บ้าน/ตำบล ก็มีบุคลากรของกระทรวงมหาดไทยดูแลอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน การป้องกันและปราบปรามเครือข่ายค้ายาเสพติดที่มีบุคคลทั้งในและนอกเรือนจำเข้าไปเกี่ยวข้อง หากมีความร่วมมือระหว่างฝ่ายปกครองท้องที่ระดับต่างๆ กับเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่สังกัดกระทรวงมหาดไทยด้วยกัน การทำงานก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้น
สมาคมนักปกครองแห่งประเทศไทย เห็นว่าข้อเสนอทั้งหมดนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนชาวไทยอย่างมาก ในการรักษาความมั่นคงของชาติ บำบัดทุกข์บำรุงสุข ดูแลความปลอดภัยชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่งสมาคมฯเชื่อว่า นี่ก็เป็นความปรารถนาของรัฐบาล
และเป็นความปรารถนาของนายกรัฐมนตรีเช่นเดียวกัน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี