แผ่นดินไหว..เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องไกลตัวคนไทยอีกต่อไป เพราะเมื่อวันที่ 5 พ.ค. 2557 หรือเพียงปีเศษๆ ก่อนหน้านี้เท่านั้น เกิดแผ่นดินไหวระดับ 6.3 ตามมาตราริกเตอร์ ศูนย์กลางอยู่ที่ ต.ทรายขาว อ.พาน จ.เชียงราย ซึ่งถือเป็นแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ยุคใหม่ของไทย ส่งผลให้อาคารบ้านเรือนได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก รวมถึงมีผู้เสียชีวิตและ
บาดเจ็บอีกด้วย
และเพราะแผ่นดินไหวเป็นเหตุที่ “พยากรณ์ไม่ได้” ดังนั้นจึงต้อง “เตรียมรับมือ” อย่างพร้อมที่สุด!!!
ในงานสัมมนาใหญ่สภาวิศวกร ประจำปี 2558 เรื่องสถานการณ์พลังงานและภัยพิบัติในประเทศไทย เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2558 ณ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ กรุงเทพฯ ศ.ดร.อมร พิมานมาศ รองประธานอนุกรรมการประสานงานด้านภัยพิบัติ กล่าวว่า แผ่นดินไหวเป็นภัยพิบัติที่ไม่ควรประมาท เพราะไม่สามารถเอาแน่เอานอนกับการเกิดในแค่ละครั้งได้
อาจารย์อมร ยกตัวอย่าง “สึนามิ 2547” ที่เกิดแผ่นดินไหวระดับ 9 ตามมาตราริกเตอร์ บริเวณเกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งถือว่าเป็นแผ่นดินไหวขนาดใหญ่ครั้งหนึ่งของโลก ทำให้หลังจากนั้นทั่วโลกหันมาทุ่มเทให้กับเทคโนโลยีเฝ้าระวังแผ่นดินไหวอย่างจริงจัง ซึ่งประเทศไทยนั้น บางจุดก็มี “รอยเลื่อนมีพลัง” ที่อาจเกิดแผ่นดินไหวได้ในสักวันหนึ่ง
“บริเวณในประเทศไทยที่มีความเสี่ยง ส่วนใหญ่บริเวณที่มีความเสี่ยงแผ่นดินไหวก็จะเป็นบริเวณที่มีรอยเลื่อน รอยเลื่อนบางส่วนไม่มีพลัง รอยเลื่อนที่ไม่มีพลังคือรอยเลื่อยที่มีแต่แนวแต่ไม่มีการเคลื่อนที่แล้ว ไม่ขยับ แต่รอยเลื่อนที่มีพลังนี่หมายความว่ามันยังเป็นรอยเลื่อนที่ยังขยับตัวอยู่ และการขยับตัวแต่ละครั้งมันสามารถที่จะปล่อยพลังงานออกมาได้
ของประเทศไทยรอยเลื่อนที่มีพลังเท่าที่กรมทรัพยากรธรณีได้บันทึกไว้มี 14 รอยเลื่อน ก็จะกระจายตามภาคต่างๆ ในภาคเหนือจะมีรอยเลื่อนอยู่ 10 รอยเลื่อน ภาคตะวันตก 2 รอยเลื่อน ภาคใต้ 2 รอยเลื่อน รวมแล้วเป็น 14 รอยเลื่อน ภาคอีสานจะไม่มีรอยเลื่อนที่มีพลังเลย ฉะนั้นใครที่อยู่ภาคอีสานก็จะค่อนข้างที่จะปล่อยภัยต่อแผ่นดินไหว ส่วนภาคเหนือและภาคตะวันตกจะมีความเสี่ยงที่ค่อนข้างสูงกว่า” อาจารย์อมร กล่าว
แม้กระทั่งใน กทม. และปริมณฑล ที่ห่างจากรอยเลื่อนดังกล่าวค่อนข้างมาก ก็ถือว่ายังมีความเสี่ยง อาจารย์อมร อธิบายว่า กรุงเทพฯอาจจะมีรอยเลื่อนแต่ยังไม่พบก็ได้ หรือถึงจะไม่มีรอยเลื่อน แต่ก็ตั้งอยู่บนพื้นที่ดินอ่อน ดังนั้นหากรอยเลื่อนทางภาคตะวันตก เช่น “รอยเลื่อนสะแกง” เป็นรอยเลื่อนอยู่ในประเทศเมียนมา หากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงอาจจะเกิดผลกระทบต่อประเทศไทยได้
“สิ่งที่เรากังวลคือรอยเลื่อนสะแกง เป็นรอยเลื่อนประเทศพม่า ซึ่งอาจจะเกิดผลกระทบต่อประเทศไทยได้ ถ้าเกิดรอยเลื่อนเคลื่อนตัวช่วงล่างอาจจะส่งผลต่อกรุงเทพฯ ถึง 8.5 ริกเตอร์ ระยะห่าง 300-400 กิโลเมตร ผนวกกับชั้นหินอ่อนของกรุงเทพฯ
อันนี้เป็นสิ่งที่น่ากลัว อันนี้สะท้อนให้เห็นว่ากรุงเทพฯ มีความเสี่ยงพอสมควร ของเราคือความเสี่ยงต่ำแต่ผลกระทบสูง” อาจารย์อมร ระบุ
สำหรับกลุ่มเสี่ยง นักวิชาการรายนี้ กล่าวว่า อาคารที่มีความเสี่ยงคืออาคารที่ก่อสร้างไม่ได้มาตรฐาน อาคารที่ไม่มีวิศวกรรมควบคุม เช่น บ้านเรือนตามชนบทที่ชาวบ้านมักจะก่อสร้างกันเอง ทำให้โครงสร้างอ่อนแอ อาคารที่ก่อสร้างจากอิฐล้วนไม่มีการเสริมเหล็ก อาคารที่ชั้นล่างเปิดโล่ง ตึกสูงที่มีรูปทรงประหลาด อาคารที่ทำการต่อเติม ทั้งหมดนี้มีความอ่อนแอมากกว่าอาคารอื่นๆ เช่นเดียวกัน และเพราะแผ่นดินไหวไม่สามารถเตือนล่วงหน้าได้ วิธีการรับมือเมื่อเกิดแผ่นดินไหวจึงควรถูกปลูกฝังตั้งแต่เด็กๆ และฝึกซ้อมเป็นประจำเพื่อให้คุ้นเคย
“ความพร้อมที่สำคัญในการรับมือคือความพร้อมด้านโครงสร้างอาคาร เพราะแผ่นดินไหวมันเตือนภัยไม่ได้ เตือนได้สัก 30 วินาที เพราะฉะนั้น 30 วินาทีไม่ใช่การเตือนภัย ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตามต้องมีความพร้อมด้านความปลอดภัย นี่คือหลักการด้านการรับมือ
นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมต้องมีกฎหมายสร้างอาคารในเขตพื้นที่เสี่ยงจะต้องออกแบบให้รับได้ ซึ่งมีความแตกต่างจากสึนามิ
เพราะสึนามิไม่ได้มีกฎหมายบังคับว่าอาคารที่อยู่ในพื้นที่ต้องออกแบบให้รองรับต่อสึนามิทุกหลัง เพราะว่าสึนามิเราแจ้งเตือนได้ทัน แต่แผ่นดินไหวแจ้งไม่ทัน สึนามิมันเป็นคลื่นที่วิ่งมากับน้ำมันวิ่งช้ากว่า เรายังมีเวลาแจ้ง การปกป้องศีรษะเป็นสิ่งแรกที่ต้องสอนเด็กๆ” อาจารย์อมร กล่าวทิ้งท้าย
อรสา อ่ำบัว
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี