“...คนร้ายจะเข้ามาแนบชิดและสัมผัสร่างกาย จากนั้นก็ค่อยๆ รู้สึกมึนศีรษะขึ้นมากะทันหัน...”, “หญิงคนดังกล่าวเอามือมาจับที่แขนและใบหน้าของตน...เหมือนถูกป้ายยาทำให้เคลิ้ม...”, “คนร้ายทำทีขายเบอร์ทอง และพูดจาหว่านล้อม ทั้งยังมาจับที่มือ และแขนจนรู้สึกมึนงง...”
“เมื่อยกสร้อยเส้นดังกล่าวใส่คล้องคอ ก็ไม่รู้สึกตัวอีกเลย...”, “...ผู้ต้องหาสารภาพแอบนำยานอนหลับมาผสมใส่ในแก้วเหล้าให้เหยื่อดื่มจนหมดสติ ก่อนพาร่างไร้สติของเหยื่อเข้าม่านรูด แล้วปลดทรัพย์...”
นี่เป็น “คำให้การ” บางส่วนจากบรรดาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของ “แก๊งป้าย-มอมยา...ตบทรัพย์” ซึ่งแม้จะมีการจับกุม และ “เตือน” ถึงพฤติการณ์ของวายร้ายประเภทนี้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ยังมี “สุจริตชน” ตกเป็นเหยื่อสูญทรัพย์สินให้กับวายร้ายกลุ่มนี้อยู่เป็นนิจ พร้อมเกิด “คำถาม” คาใจว่า...
“ยาป้าย-ยามอม” ที่ทำให้ “เบลอ จนหมดสติ มีจริง.???
หรือเป็นเพราะเหยื่อ “โลภ” แล้ว “อาย” มากกว่า.???
แหล่งข่าวจาก “สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา” หรือ “อย.” เปิดเผยว่า คดี “มอมยา” เป็นไปได้หรือไม่.??? คงต้องมาตรวจสอบที่ “สรรพคุณ” ของยาสลบกันก่อน โดย “ยาสลบ” ถ้าสูดผ่านจมูกเข้าไป มันจะผ่านเข้าปอด ถูกดูดซึมผ่านเส้นเลือดที่ปอด แล้วไหลเวียนผ่านไปที่สมอง ซึ่งใช้เวลาพอสมควรกว่ายาจะไปออกฤทธิ์ที่สมองได้ การจะสลบ “ช้า-เร็ว” จึงขึ้นกับความเข้มข้นของยาสลบที่ใช้ การละลายได้ดีในไขมัน ซึ่งยาสลบที่มีในปัจจุบัน ถึงใช้ตัวที่ทำให้หลับเร็วที่สุด ยังใช้เวลาเป็นนาทีกว่าคนไข้จะสลบ ดังนั้นคดีลักษณะ “มอมด้วยยาสลบ” จึงมีความเป็นไปได้ แต่ยากที่เหยื่อจะสลบทันที
คราวนี้มาถึงคดีลักษณะมอมด้วย “ยาป้าย” มีจริงหรือไม่.???
ถ้ายาแปะให้หลับหรือสลบมีจริง โดยมีสารออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทผ่านทางผิวหนังเท่าที่มีใช้เวลานี้ มีแต่ Fentanyl กับ Clonidine เท่านั้น ความยากของมันมีตั้งแต่การซึมผ่านของยาผ่านทางผิวหนัง และการควบคุมยาให้ออกฤทธิ์ตามที่ต้องการ แต่ทำไม่ได้ง่ายๆ เพราะผิวหนังประกอบด้วยชั้นต่างๆ ที่สำคัญ 3 ชั้น ได้แก่ epidermis, dermis และ subcutaneous โดยชั้น epidermis เป็นอุปสรรคที่สำคัญสำหรับการนำส่งยาไปยังชั้น dermis ซึ่งมีหลอดเลือดและท่อน้ำเหลืองที่สำคัญต่อการลำเลียงยา หรือสารเข้าสู่หลอดเลือด ดังนั้น ยาที่สามารถใช้ได้ด้วยวิธีออกฤทธิ์ผ่านทางผิวหนังนี้ ต้องเป็นยาที่ค่อนข้างแรงและสามารถซึมผ่านผิวหนังได้ดี นอกจากนี้ ยาต้องใช้เวลาค่อนข้างนานจึงจะออกฤทธิ์
ยกตัวอย่าง เช่น ยาชา Xylocain หรือ lidocaine แบบ “แปะ” ต้องใช้เวลาเป็นชั่วโมงในการออกฤทธิ์ซึมผ่านผิวหนังให้ชาเฉพาะที่, ยา Fentanyl ซึ่งอยู่ในกลุ่ม narcotics ใช้เวลากว่าจะออกฤทธิ์เต็มที่ 12-24 ชั่วโมง ดังนั้นการ “ป้ายยา” ให้คนสลบ หรือเบลอในทันที จึงเป็นไปไม่ได้ ส่วนยา Dormicum หรือ Midazolam มีการนำมาใช้ก่ออาชญากรรมจริง แต่ไม่มีการใช้ในรูปการป้ายยา หรือซึมผ่านผิวหนัง ใช้พ่นก็ไม่ได้ ในทางปฏิบัติใช้กินหรือฉีด ซึ่งต้องใช้ปริมาณมากและรอนาน ใช้ป้ายผิวหนังยังไงก็ไม่ออกฤทธิ์
“ส่วน แอลเอสดี (LSD : Lysergic acid diethylamide) เป็นยาเสพติดร้ายแรงประเภทที่ 1 ต้องฉีดหรือนำกระดาษที่เคลือบแอลเอสดีอยู่มาเคี้ยว หรืออมหรือวางไว้บนลิ้น ซึ่ง LSD จะถูกดูดซึมผ่านเยื่อบุภายในจมูกและเยื่อบุอื่นๆ ได้อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ใช่ผิวหนังของคน ซึ่งมีการป้องกันเยอะ จึงต้องใช้ปริมาณมากและรอนาน สรุปสั้นๆ การป้ายยาให้คนสลบจึงเป็นไปไม่ได้” แหล่งข่าวจาก อย.กล่าว
ด้าน “เภสัชกร(ภก.)ประพนธ์ อางตระกูล” รองเลขาธิการ อย. กล่าวว่า คดี “มอมยา...รูดทรัพย์” เท่าที่ติดตามข่าวมีหลายลักษณะ ถ้าเป็นลักษณะการมอมยาโดยการให้ “กิน” มีโอกาสเป็นไปได้ เพราะมียาหลายชนิดที่ออกฤทธิ์คล้ายยานอนหลับ หรือยาสลบ แต่กรณี “ยาป้าย” หรือกรณีขึ้นรถแท็กซี่แล้วอ้างว่าถูกปล่อยยา หรือสารเคมีอะไรออกมาแล้วทำให้ “เบลอ” โดยทางการแพทย์ในปัจจุบันยังไม่มียาตัวใดที่ออกฤทธิ์ขนาดนี้ได้...สรุปง่ายๆ คือ การมอมยาโดยการให้กิน หรือสูดดม มีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่กรณีใช้ “ยาป้าย” ในทางการแพทย์ ไม่มียาตัวใดที่ออกฤทธิ์ได้ขนาดนี้
“กรณีถูกป้ายยารูดทรัพย์ น่าจะเป็นข้ออ้างของเหยื่อ เพราะวิทยาการทางการแพทย์ยังไม่มีการรับรองยาตัวนี้ และถ้ามีจริงคงมีการขึ้นทะเบียนนำไปใช้ทางการแพทย์แล้วคงไม่ต้องมานั่งใส่หน้ากากดมยากันให้วุ่นวาย เช่นเดียวกับกรณีที่บอกว่าโดนแท็กซี่ปล่อยยาผ่านแอร์จนเบลอ ยังไม่เคยมีข้อพิสูจน์ได้เลยว่าแท็กซี่ใช้ยาอะไร มีแต่การกล่าวอ้างกันเองของเหยื่อ” รองเลขาธิการ อย.กล่าว
ขณะที่ “พ.ต.อ.วรพงษ์ ทองไพบูลย์” รองผู้บังคับการตำรวจปราบปรามความผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (รอง ผบก.ปคม.) กล่าวว่า คดีลักษณะ “มอมยา” มีโอกาสเกิดขึ้นได้ โดยพฤติการณ์ของคนร้าย คือ ให้กินเครื่องดื่มผสมยานอนหลับ หรือยากล่อมประสาท เป็นต้น แล้วรูดทรัพย์ แต่ “ป้ายยา” ไม่มีจริง จากที่เคยคุยกับแพทย์หลายคนว่ามียาอะไรบ้างที่ “ป้าย” แล้วสลบ แพทย์ก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่มี”
“เหตุป้ายยาที่มันเกิดเพราะคนมันโลภ อยากได้ของเขา พอเสียของไปก็กลัวจะโดนพ่อแม่พี่น้อง สามี ตำหนิ โดนสามีเตะ โดนเมียด่า ก็อ้างว่าโดนป้ายยาดีกว่าโอกาสที่จะโดนป้ายยาแล้วสะลึมสะลือ ไม่รู้เรื่องเลย มันยากหรือกรณีอ้างว่าโดนแท็กซี่มอมยาผ่านช่องแอร์ ผมถามว่านั่งอยู่ด้วยกัน ในรถคันเดียวกัน ทำไมโชเฟอร์ไม่เป็นอะไรคนนั่งเป็นได้อย่างไร ยามันเลือกคนได้ด้วยหรือ” พ.ต.อ.วรพงษ์ กล่าว
พร้อมกับสรุปสั้นๆ ว่า ผู้เสียหายคดี “ป้ายยา...รูดทรัพย์” ที่เคยพบ ส่วนหนึ่งเกิดจาก “โลภ” และ “อาย” มากกว่า ซึ่ง “ข้อแนะนำ” ของตน คือ กรณีมอมยาซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้นั้น ง่ายๆ คือ ไม่ควรไปไหนกับคนแปลกหน้า หรือกรณีผู้ชายที่ตกเป็นเหยื่อตามสถานบันเทิงนั้นเพราะมีผู้หญิงมา “อ่อย” ก็ไปกับเขา ตรงนี้ให้คิดไว้เสมอว่าถ้าคุณไม่ได้หล่อแบบดารา ก็อย่าไปหวังเลยว่าเขาจะมาดี
ส่วนคดี “ป้ายยา” ยืนยันได้เลยว่าไม่มีแน่
ดังนั้นให้คิดไว้อย่างเดียวเลยว่า...“อย่าโลภ”!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี