“วีดีโอเกม” สินค้าขึ้นชื่อของสะพานเหล็ก
“ตลาดมันก็มีการพัฒนามาตลอด เมื่อก่อนขายรองเท้า ขายเสื้อผ้า ขายอาหาร ต่อมาก็พัฒนามาเป็นเกม พอเกมขายไม่ดีก็เปลี่ยนมาเป็นของเล่น เมื่อก่อนลำบากครับ ไฟก็ไม่มี น้ำก็ไม่มี เราก็ไปจัดการขอเองทำอะไรเองทุกอย่าง พอลูกค้ารู้ว่าจะรื้อ
เขาก็มาดูครับ เขาเสียดาย เขาก็มาดูเพราะว่าจะเก็บความทรงจำไว้”
เสียงสะท้อนจาก ไชยวัฒน์ พุฒพนาทรัพย์ ผู้ค้าเครื่องหนังรายหนึ่งย่านสะพานเหล็ก บอกเล่ากับ “สกู๊ปหน้า 5” เมื่อ 1 ต.ค. 2558 ถึงเส้นทางอันยาวนานของย่านค้าขายเก่าแก่แห่งนี้ในวันที่อาจจะต้อง “ปิดตัว” หลังกรุงเทพมหานครมีนโยบายจัดระเบียบแผงลอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริเวณเขตเมืองเก่า ซึ่งสะพานเหล็กนั้น กทม. ระบุว่าสร้างขึ้นรุกล้ำ “คลองโอ่งอ่าง” ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานตั้งแต่ปี 2519 โดยกรมศิลปากร
“ไชยวัฒน์” เล่าต่อไปถึงความผูกพันต่อสะพานเหล็ก เริ่มจากเมื่อราว 30 ปีก่อน บริษัท บุญธัญญาลักษณ์ จำกัด ได้รับสัมปทานจากสำนักงานตลาด กทม. ให้มาพัฒนาพื้นที่ดังกล่าว และคำว่า “สะพานเหล็ก” จากการนำแผ่นเหล็กมาพาดเชื่อมต่อระหว่างสองฝั่งคลอง ก็เริ่มต้นตั้งแต่บัดนั้น ซึ่งกลุ่มผู้ค้าได้บุกเบิกจนกลายเป็น “ตำนาน” มาถึงปัจจุบัน
“สะพานเหล็กก็พัฒนากันไป คนค้าขายก็เริ่มเข้มแข็งขึ้น บุญธัญญาลักษณ์เขาก็เห็นโอกาสก็มาพาดสะพานเพิ่มขึ้นจนเป็น 20 สะพาน ก็คือบุญธัญญาลักษณ์เขาไปร่วมกับสำนักงานตลาดมาจัดพื้นที่ให้เช่าค้าขาย” เขากล่าวย้ำ
เช่นเดียวกับ เก่ง หนุ่มเจ้าของร้าน “You Like Games” ขายและซ่อมอุปกรณ์วีดีโอเกมในสะพานที่ 8 อีกผู้หนึ่งที่ผูกพันกับสะพานเหล็ก เขาเล่าว่าเคยเปิดร้านที่นี่ครั้งแรกเมื่อปี 2537 ในยุคที่เครื่องเล่นวีดีโอเกมยังมีเทคโนโลยีเพียง “8 บิต-16 บิต”
(8 bit-16 bit) ใช้ตลับเสียบกับตัวเครื่องหรืออุปกรณ์แปลงจากตลับเป็นแผ่นดิสก์สี่เหลี่ยมขนาด 1.44 นิ้ว แต่ว่าต้องปิดร้านไปในปี 2540 จากวิกฤติเศรษฐกิจ กระทั่งกลับมาเปิดร้านใหม่ในปี 2550 ยุคที่วีดีโอเกมใช้แผ่นดีวีดี (DVD) และภาพในเกมพัฒนาไปมาก จนสวยงามอลังการราวกับกำลังชมภาพยนตร์ชั้นดีสักเรื่องหนึ่ง
ถ้าถามว่าอะไรคือ “เอกลักษณ์” ของย่านการค้าแห่งนี้ “เก่ง” ตอบไว้ 2 ประการ ประการแรก..ในยุคที่อินเตอร์เนตยังไม่แพร่หลาย ใครที่เล่นวีดีโอเกมไปแล้วติดขัด แก้ปริศนาดำเนินเนื้อเรื่องไปต่อไม่ได้ ก็จะมาพูดคุยสอบถามเทคนิคต่างๆ กันที่นี่ทำให้สะพานเหล็กกลายเป็นแหล่งชุมนุมของ “คอเกม” จากทั่วสารทิศไปโดยปริยาย
“คนสมัยก่อนเวลาเล่นเกมแล้วไปด่านต่อไปไม่ได้ เขาก็จะมาถามกันที่สะพานเหล็ก ฉากนี้ไปยังไง? เล่นผ่านยังไง? แต่วันนี้คุณเปิดอินเตอร์เนตดู เขาก็มีให้ดูแล้วว่าด่านนี้เล่นยังไง คือสมัยโน้นใครสงสัยอะไรก็มาถกกันที่สะพานเหล็ก ตรงนี้มันก็มีมนต์เสน่ห์ของมัน” หนุ่มรายนี้ ระบุ
ประการที่สอง..ความเป็นมิตรระหว่างผู้ค้าด้วยกัน และผู้ค้ากับลูกค้า เช่น อะไหล่เครื่องเล่นวีดีโอเกมนั้นมีหลายชิ้น และแต่ละชิ้นก็มีราคาพอสมควร การสั่งอะไหล่ทุกชิ้นมาเก็บไว้มากๆ ย่อมไม่คุ้ม ทำให้มีการ “แชร์อะไหล่” กันระหว่างร้านต่างๆเช่น ร้านนี้มีลูกค้ามาซ่อมแต่ร้านไม่มีอะไหล่ ก็จะไปขอซื้ออะไหล่จากร้านอื่นที่มีมาใส่ให้ลูกค้าได้ ทำให้แต่ละร้านไม่มีต้นทุนสูงมากนักค่าซ่อมที่คิดกับลูกค้าก็จะไม่แพง และซ่อมให้ได้อย่างรวดเร็ว
“การแชร์อะไหล่ทำให้สินค้าที่สั่งมาต้นทุนมันไม่สูง ลูกค้าสามารถรับราคาซ่อมได้ ส่วนใหญ่คนที่มาสะพานเหล็ก หนึ่งคืออยากได้เลย สองคืออยากได้ราคาถูก ลูกค้ามีทั้งมาจากราชบุรี เชียงราย สุราษฎร์ธานี บางคนเดินทางลำบากก็ส่งไปรษณีย์มา พอเราซ่อมเสร็จก็ส่งกลับ” เก่ง อธิบาย
อีกด้านหนึ่ง ในยุคนี้ที่ประเด็นต่างๆ ถูกนำไปวิพากษ์วิจารณ์บนโลกออนไลน์อย่างกว้างขวาง รวมถึงการรื้อตลาดสะพานเหล็กด้วย ความคิดเห็นจากผู้คนแบ่งเป็น 2 ฝ่าย ระหว่างฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับ กทม. เพราะมองว่าเป็นย่านการค้าเก่าแก่และมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ กับฝ่ายที่เห็นด้วยกับ กทม. เพราะมองว่าเป็นแหล่งเสื่อมโทรมและอยู่กันแบบผิดๆ มานาน ซึ่ง “เก่ง” ให้ความเห็นว่า คนกลุ่มนี้อาจจะไม่เข้าใจ มองว่าเกมและของเล่นต่างๆ เป็นเรื่องไร้สาระ
“คนที่อยากให้พวกผมไป พวกเขาอาจจะไม่ได้เล่นเกม เขาก็คงมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่เกมนะครับไม่เคยทำร้ายใคร มันไม่ใช่ยาเสพติด หรือของเล่นนี่พวกที่แก่กว่าผมยังเล่นเลยคุณมีลูกมีหลาน คุณก็ต้องหาเกมหาของเล่นให้เด็กเล่น การเล่นเกมนี่เป็นการคลายเครียดมากกว่านะครับ” หนุ่มเจ้าของร้านรับซ่อมวีดีโอเกมรายนี้ ฝากทิ้งท้าย
รายงานข่าว “30 ปีค่าเช่าที่สะพานเหล็ก-เจ้จิ๋ม ผู้เก็บเงินปริศนา?” ของสถานีโทรทัศน์ PPTV ไล่เลียงลำดับเหตุการณ์ว่า
บ.บุญธัญญาลักษณ์ ได้รับสัมปทานจาก กทม. ให้บริหารแผงค้าสะพานเหล็กในปี 2527 เป็นจุดเริ่มต้นของย่านการค้าแห่งนี้ ก่อนจะยกเลิกสัมปทานในปี 2535 จากนั้นก็เกิดคดีความฟ้องร้องกัน กระทั่งปี 2539 ศาลแพ่งมีคำสั่งให้ บ.บุญธัญญาลักษณ์ จ่ายค่าเสียหายคืนพื้นที่ให้ กทม. ต่อมาในปี 2540 กทม. เข้ามาจัดระเบียบและเก็บค่าเช่าเองแทน บ.บุญธัญญาลักษณ์ และปี 2543 กทม. มีคำสั่งเป็นครั้งแรกให้ผู้ค้าย้ายออกเพื่อรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างทั้งหมด
จากสิ่งที่เกิดขึ้น ทำให้เกิดข้อน่าสงสัยหลายประเด็น คือ 1.เมื่อ กทม. มีประกาศให้ผู้ค้าย้ายออกตั้งแต่ปี 2543 เหตุใดจึงปล่อยให้ผู้ค้าอยู่ต่อมาอีกถึง 15 ปี ก่อนจะมาประกาศอีกครั้งในปี 2558 เห็นได้จากค่าน้ำประปา-ค่าไฟฟ้า ผู้ค้าก็ยังคงจ่ายตามปกติและมีใบเสร็จทุกเดือน ไม่เคยมีการตัดน้ำ-ตัดไฟแต่อย่างใด 2.เมื่อ กทม. ยืนยันว่าต้องรื้อถอนเพราะคลองโอ่งอ่างขึ้นบัญชีเป็นโบราณสถานตั้งแต่ปี 2519 ไม่สามารถให้ค้าขายได้ แต่เหตุใดในปี 2527 กทม. ถึงให้สัมปทาน บ.บุญธัญญาลักษณ์ มาพัฒนาพื้นที่เพื่อการค้าขาย จนเติบโตขึ้นเป็นย่านสะพานเหล็กดังกล่าว
และ 3.เหตุใดการรื้อถอนตลาดสะพานเหล็ก ปี 2558 จึงไม่มีการแจ้งล่วงหน้าในระยะเวลาที่เหมาะสม เพราะจากการที่ “สกู๊ปหน้า 5” ลงพื้นที่สอบถามเมื่อ 1 ต.ค.2558 ผู้ค้าหลายรายระบุว่า กทม. ไม่เคยมาแจ้งให้ทราบล่วงหน้า บางรายเล่าว่า 1 เดือนก่อนหน้านี้เคยมีเจ้าหน้าที่เทศกิจเข้ามาวัดพื้นที่แต่ละร้าน แต่ไม่ได้บอกว่าจะเอาไปทำอะไร จึงเข้าใจว่าแค่มาจัดพื้นที่ให้เป็นระเบียบเรียบร้อยเท่านั้น ไม่คาดคิดว่าสุดท้ายจะกลายเป็นการไล่รื้อตามที่ปรากฏเป็นข่าว
ทั้งหมดนี้ทำให้บรรดาผู้คนที่ผูกพันกับสะพานเหล็ก..ต่างตั้งคำถามว่า “เป็นธรรมแล้วหรือ?”!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี