“น่าน”...
ถือเป็น “แหล่งต้นน้ำ” ที่สำคัญของประเทศไทย จากการสำรวจของ “สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย” หรือ สกว. และคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงปริมาณมวลน้ำทั้ง 4 สาขา คือ “ปิง วัง ยม น่าน” ที่มาบรรจบเป็น “แม่น้ำเจ้าพระยา” พบว่ามาจาก “แม่น้ำน่าน” ถึง 40% ปัจจัยที่ทำให้ จ.น่าน เป็นแหล่งต้นน้ำ เพราะกว่า 85% ของพื้นที่ทั้งหมด 7.6 ล้านไร่เป็นภูเขาและป่าไม้
ทว่า...ปัจจุบันพื้นที่ป่าไม้ของ จ.น่าน ลดลงเหลือเพียง 50% เนื่องจากการบุกรุกป่าเพื่อทำการเกษตรปลูกพืชเชิงเดี่ยว โดยเฉพาะ “ไร่ข้าวโพด” ทำให้ภูเขาที่เคยปกคลุมด้วยป่าเขียวขจี กลายเป็น “เขาหัวโล้น” กระทบไปถึงป่าต้นน้ำของแม่น้ำน่าน และอีก 22 จังหวัดของลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้ “คนน่าน”ตกเป็น “จำเลยสังคม” ในฐานะ “ตัวการ” ทำลายป่าไม้ และต้นน้ำสำคัญ
ข้อมูลของ “สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ” พบว่า ปัญหาป่าไม้ จ.น่าน มีจุดเริ่มต้นจากการที่รัฐบาลประกาศนโยบายพัฒนาประเทศเมื่อ 50 ปีที่แล้ว โดยมีการเปิดสัมปทานป่าไม้ทำให้มีการตัดไม้ยืนต้นจากป่าจำนวนมาก จนมาถึงยุคปัจจุบันมีการส่งเสริมการปลูกพืชเชิงเดี่ยว อย่าง “ข้าวโพด” ซึ่งเป็นการทำเกษตรที่ทำลายความอุดมสมบูรณ์ของป่าไม้ โดยปี 2535 “คนน่าน” เริ่มหันมาปลูกข้าวโพดมากขึ้น เพราะเป็นที่ต้องการของตลาด ทำให้ต้องขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นจนรุกเข้าไปในป่า ทำให้ป่ากลายเป็น “เขาหัวโล้น” โดยปัจจุบัน จ.น่าน มีพื้นที่ปลูกข้าวโพดราว 8 แสนไร่ส่วนใหญ่อยู่ในเขตป่า หรือที่ดินไม่มี “เอกสารสิทธิ”
ในจุดนี้เองทำให้ “คนน่าน” และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหันกลับมาศึกษาถึงผลกระทบ เพื่อจัดการพื้นที่ทำกินและป่า โดยมุ่ง “ลด ละ เลิก” ปลูกข้าวโพด แล้วหันมาทำเกษตรแบบผสมผสานแทน ซึ่งหนึ่งในกรณีศึกษาเรื่อง“เขาหัวโล้น-ไร่ข้าวโพด” ที่ประสบความสำเร็จ จนกลายเป็น “เขตปลอดข้าวโพด” ต้นแบบ คือ โครงการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติชุมชนบ้านสะปัน ต.ดงพญา อ.บ่อเกลือ หรือ...
“ดงพญาโมเดล”!!!
“พระครูสุจิณนันทกิจ” เจ้าอาวาสวัดโป่งคำจ.น่าน หนึ่งในศูนย์เรียนรู้ภายใต้เครือข่าย “ดงพญาโมเดล”บอกว่า “เมืองน่าน” กำลังถูกจับตามองอย่างมากจากสังคมภายนอก ทั้งสถานการณ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมที่มีปัญหาจากการทำเกษตรแบบปลูกพืชเชิงเดี่ยว รวมถึงความเปลี่ยนแปลงของชุมชนจาก “นโยบายรัฐ-ระบบทุน” ที่ถาโถมเข้าใส่ ซึ่งล้วนมีผลกับคนน่านทั้งสิ้น คนในชุมชนจึงลุกขึ้นมาค้นหาคำตอบผ่านกระบวนการเรียนรู้จนพบทางออกที่จะพลิกฟื้น “เขาหัวโล้น” ให้เป็น“เขาหัวเขียว” และอนุรักษ์ป่าต้นน้ำเอาไว้ โดยยึดหลัก “ดินดี น้ำดี และคนดี”
“ปัญหาทรัพยากรธรรมชาติถูกทำลายใน จ.น่าน เกิดจากการขยายตัวของเศรษฐกิจโลก ภาครัฐได้พยายามส่งเสริมให้เกษตรกรปรับเปลี่ยนจากวิถีเกษตรดั้งเดิมแบบพออยู่พอกิน เป็นการปลูกพืชเชิงเดี่ยว จากนโยบายที่ไม่ได้มองขึ้นไปจากวิถีชุมชน แต่ใช้วิธีคิดจากบนลงล่าง ทำให้เกิดปัญหา ถ้าจะแก้ปัญหาต้องเริ่มจากเปลี่ยนวิธีคิดจากฐานชุมชนขึ้นไป” เจ้าอาวาสวัดโป่งคำ กล่าว
ด้าน “เมธวัฒน์ พุทธิธาดากุล” นายกองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) ดงพญา กล่าวว่า ชาวบ้านใน ต.ดงพญา ปลูก “ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” ราว 30% ของพื้นที่ ต่อมาได้เล็งเห็นถึงปัญหา ทั้งความเสี่ยงด้านสุขภาพ และผลกำไรจากการทำไร่ข้าวโพดที่ไม่มาก เมื่อเทียบกับผลกระทบแล้วถือว่า “ไม่คุ้ม” โดยเราได้ทำบัญชีสรุปรายรับ-รายจ่ายตลอด 1 ปี พบว่าเมื่อหักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้วบางรายไม่เหลือเงิน แถมยัง “ติดลบ” เราจึงมานั่งคุยกันว่าจะทำต่อไปทำไม เพราะไม่คุ้ม หนำซ้ำยังส่งผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมด้วย
“เมธวัฒน์” กล่าวอีกว่า จากการวิจัยที่เราทำร่วมกับ สกว. พบว่า การปลูกข้าวโพดมีผลกระทบหลายด้าน เช่น ทำให้สิ่งแวดล้อม และป่าไม้ถูกทำลายจากการ “รุกคืบ”เข้าไปของไร่ข้าวโพด , แหล่งน้ำปนเปื้อนสารเคมี เนื่องจากมีการชะล้างสารเคมีจากที่สูงมาสู่แหล่งน้ำ และวิถีชุมชนเปลี่ยนไป จากพึ่งพิงธรรมชาติ เก็บผักหญ้าในผืนป่ามาบริโภค ก็เปลี่ยนมาใช้จ่ายด้วยเงิน ทาง อบต.ดงพญา จึงนำงานวิจัยนี้มารณรงค์ให้ความรู้ เพื่อให้คนในชุมชนลดการปลูกข้าวโพดลง
“ต.ดงพญา เป็นพื้นที่ป่าต้นน้ำ มีแหล่งน้ำลำห้วย 239 แห่ง ที่ไหลลงสู่แม่น้ำหรือลำน้ำวะ ซึ่ง 60% ของแม่น้ำน่าน มาจากลำน้ำวะ โดยในอดีตลำน้ำวะมีความอุดมสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันสัตว์น้ำลดลง เพราะสารเคมีที่เกษตรกรใช้ในไร่ข้าวโพดไหลลงสู่ลำน้ำ ถ้า ต.ดงพญา มีการปลูกข้าวโพดก็จะเป็นปัญหากับพี่น้องอีกหลายๆจังหวัด เพราะน้ำที่ใช้อุปโภคบริโภคจะปนเปื้อนสารเคมี” นายก อบต.ดงพญา กล่าว
นายก อบต.ดงพญากล่าวด้วยว่า จากการตรวจสุขภาพเกษตรกรในพื้นที่ในอดีต พบว่า มีสารเคมีในกระแสเลือดมาก แต่หลังจากที่มีการรณรงค์ให้เลิกปลูกข้าวโพด และสร้างอาชีพ หรือปลูกพืชอื่นทดแทน ก็ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ เพราะชาวบ้านมี “กำไร” มากกว่าการทำข้าวโพด มีความสุขแบบพอเพียง ที่สำคัญสุขภาพก็ดีขึ้น ปริมาณสารเคมีในร่างกายลดลง ในที่สุด ต.ดงพญา ก็กลายเป็น “เขตปลอดข้าวโพด” สำเร็จ
ขณะที่ “เพิ่มศักดิ์ มกราภิรมย์” นักวิจัย สกว.กล่าวว่า ทางออกของการแก้ปัญหา “เขาหัวโล้น” คือ ต้องสร้างระบบการดูแลฐานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้มั่นคง ชาวบ้านต้องอยู่ได้ บริษัทก็มีกำไร มี “ประชารัฐ” ในการบริหารจัดการร่วมกันระหว่างประชาชนและภาครัฐ บนฐานความรู้และภูมิปัญญาชาวบ้านที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา ให้เกิดเป็น “เกษตรหุ้นส่วน” ไม่ใช่เกษตรพันธะสัญญา ใช้ฐานของคนในท้องถิ่น ปลุกจิตสำนึกให้ชาวบ้านช่วยกันดูแลและปกป้อง เพื่อผลประโยชน์ของชุมชน
“ปัญหาเขาหัวโล้นใน จ.น่าน ทั้งกรมป่าไม้ เทศบาล ชุมชน และนักวิชาการ ต้องมาคุยกัน เพื่อออกแบบการทำงานและการเรียนรู้ร่วมกัน เพื่อฟื้นฟูป่าและพัฒนาชุมชนอย่างยั่งยืน ให้คนน่านหลุดพ้นจากการเป็นจำเลยของสังคมในการทำลายป่า เชื่อว่าผลที่ได้จะเป็นที่น่าพอใจของทุกคน เพราะสอดคล้องกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน เกื้อกูลสิ่งแวดล้อม” นักวิจัย สกว.กล่าว
ปัจจุบัน “คนน่าน” ตื่นตัว และรับรู้ว่าการบุกรุกทำเกษตรกรรม โดยเฉพาะ “ไร่ข้าวโพด” คือ การทำลายป่าและต้นน้ำ วันนี้ “วิถี...คนน่าน” จึงเปลี่ยนไป พวกเขาหันกลับมา “รักษ์...ป่า-ต้นน้ำ” มากขึ้น ทำให้เชื่อว่าภาพ “เขาหัวโล้น” ที่น่าน จะกลับมาเขียวขจี เป็นป่าต้นน้ำหล่อเลี้ยง “แม่น้ำเจ้าพระยา” สายเลือดใหญ่ของคนไทยได้ในอีกไม่นานนี้
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี