สะเทือนขวัญรับ “ศุกร์ 13” กับเหตุการณ์คนร้ายกราดยิงและระเบิด 6 จุดทั่วกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อคืนวันที่ 13 พ.ย. 2558 ตามเวลาท้องถิ่น หรือเช้ามืดวันที่ 14 พ.ย. 2558 ตามเวลาประเทศไทย ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตนับร้อยราย ทั้งที่เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ฝรั่งเศสเพิ่งผ่านเหตุร้ายลักษณะเดียวกันมาหมาดๆ กับกรณีคนร้ายกราดยิงเข้าไปในสำนักงานหนังสือพิมพ์ Charlie Hebdoเท่ากับว่าเกิดเหตุรุนแรงถึง 2 ครั้งในเวลาเพียงปีเดียวเท่านั้น
“ถ้ามองในแง่ประชาชน ก็มีพวกที่เคยเป็นอาณานิคมเก่า รวมถึงเด็กที่เป็นต่างชาติที่เขามาเติบโตที่นี่ อย่างคราวนี้
เป็นคนที่โตในฝรั่งเศสแต่ไปอาศัยอยู่ที่เบลเยียมซึ่งชายแดนติดกัน ฉะนั้นประเด็นหนึ่งคือเขามีพวกมุสลิมอยู่เยอะ อย่างชาร์ลี เอ็บโด นั่นก็ไปวาดการ์ตูนล้อศาสดาของเขา นั่นก็เป็นส่วนที่เขาคิด
กับอีกส่วนหนึ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นในปารีสมันเกิดจากคนรุ่นใหม่ เรื่องนี้มันเป็นเรื่องอุดมการณ์ว่าประเทศตะวันตก คงไม่ใช่แค่ฝรั่งเศส คือฝรั่งเศสมันเป็นยุทธศาสตร์ที่ทำอะไรง่ายหน่อย แต่ตะวันตกทั้งหมดเขามองว่าเอารัดเอาเปรียบในกลุ่มประเทศของเขา แล้วทุกวันนี้มันมีปัญหาหนึ่งที่ซ่อนอยู่ คือการไม่มีงานทำ การตกงาน”
รศ.ดร.ชัยชนะ อิงคะวัต อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง กล่าวถึงปัจจัยที่เอื้อให้เกิดเหตุ
ก่อวินาศกรรมในฝรั่งเศส ไม่ว่าจะเป็นสื่อบางฉบับที่วาดการ์ตูนล้อเลียนความเชื่อที่คนบางกลุ่มเคารพนับถือ ความรู้สึก
ที่ว่าชาติตะวันตกเอาเปรียบดินแดนเดิมของเผ่าพันธุ์ตน รวมทั้งปัจจุบันที่ฝรั่งเศสประสบปัญหาว่างงานค่อนข้างสูง
สอดคล้องกับรายงานของอัยการฝรั่งเศส ที่เปิดเผยว่า 1 ในคนร้ายผู้ก่อเหตุในคืนวันที่ 13 พ.ย. 2558 คือ นายโอมาร์ อิสมาอิล มอสเตฟาอี อายุ 29 ปี สัญชาติฝรั่งเศสเชื้อสายอาหรับ อาศัยอยู่ในย่านยากจนเขตคูคูโรน แถบชานกรุงปารีส มีประวัติอาชญากรรมต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2547-2553 แต่เป็นเพียงคดีเล็กน้อย
หรือหากย้อนไปในเหตุกราดยิงที่สำนักงานหนังสือพิมพ์ Charlie Hebdo ครั้งนั้นผู้ก่อเหตุคือ นายซาอิด คาอูชี อายุ 34 ปี และน้องชาย นายเชรีฟ คาอูชี อายุ 32 ปี ทั้งคู่อาศัยอยู่ในฝรั่งเศส ทั้งนี้ นายซาอิด เคยมีประวัติเดินทางไปประเทศเยเมนในปี 2554 ซึ่งคาดว่าไปร่วมฝึกยุทธวิธีกับกลุ่มก่อการร้ายอัล-เคดา ในเยเมน
“วันนี้มันออกไปในแนวทางของอุดมการณ์ที่มีความรู้สึกว่าถูกเอารัดเอาเปรียบ เด็กหนุ่มพวกนี้ส่วนใหญ่เราจะเห็นว่าเขามีเชื้อสายกับคนที่เขาอยู่ในตะวันออกกลางพอสมควร ดูจากหน้าตาดูจากนามสกุล” อาจารย์ชัยชนะ กล่าว
อีกประเด็นที่น่าสนใจ..หากย้อนไปดูเหตุก่อการร้ายในอดีต ส่วนใหญ่มีลักษณะคล้ายกันอย่างหนึ่งคือผู้ลงมือมักเป็นสมาชิกหรือแนวร่วมของกลุ่มองค์กรที่ถูกจัดตั้งขึ้น ทว่าปัจจุบันเริ่มมีรูปแบบการก่อการร้ายใหม่ๆ ที่ผู้ก่อเหตุอาจจะไม่จำเป็นต้องเป็นแนวร่วมขององค์กรใดๆ เพียงแค่รับข้อมูลแนว “ปลุกปั่นยั่วยุ” ผ่านสื่อออนไลน์ แล้วรู้สึกว่า “โดน” ก็พร้อมจะลงมือได้เองทันที
เช่นเมื่อเดือน ต.ค. 2557 นายเซล ทอมป์สัน วัย 32 ปี ก่อเหตุใช้ขวานทำร้ายตำรวจ 2 นาย ที่นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา ในเวลานั้น นายบิล แบร็ตตัน ผู้บัญชาการตำรวจนิวยอร์ก เปิดเผยว่า แม้ประวัติของนายเซล จะไม่พบว่าพัวพันกับกลุ่มก่อการร้าย แต่ก่อนเกิดเหตุคนร้ายรายนี้เข้าไปชมเว็บไซต์เกี่ยวกับกลุ่มไอเอสและกลุ่มอัล-เคดา รวมถึงคลิปวีดีโอฆ่าตัดศีรษะอยู่บ่อยครั้ง จึงคาดว่านายเซลอาจได้ “แรงจูงใจ” มาจากเว็บไซต์ดังกล่าว
ซึ่งลักษณะนี้ทำให้หน่วยงานด้านความมั่นคงรับมือได้ยาก เนื่องจากผู้ก่อเหตุอาจเป็นใครก็ได้ไม่จำเป็นต้องมีรายชื่ออยู่ในฐานข้อมูลบุคคลอันตราย ดังกรณีของนายโอมาร์ แม้จะเคยมีประวัติอาชญากรรมแต่ก็เป็นเพียงความผิดเล็กๆ น้อยๆ ไม่เคยถูกจำคุก อีกทั้งไม่ปรากฏว่าเกี่ยวข้องกับกลุ่มหัวรุนแรงใดๆ มาก่อน
อาจารย์ชัยชนะกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “สงครามทางความคิด” ที่น่าจะจบไปตั้งแต่หลังสิ้นสุดสงครามเย็น ได้กลับมาในรูปแบบที่ต่างไปจากเดิม คือมุ่งเข้าหา “ปัจเจกชน” มากขึ้น โดยเฉพาะกับผู้ที่ไม่ได้ผูกพันกับแผ่นดินที่อาศัยอยู่มากเท่ากับอุดมการณ์อื่นๆ ที่นับถือศรัทธาในใจ
“ฝรั่งเศสเขาจะมีคนประเทศที่เคยเป็นอาณานิคมของเขามาอยู่เป็นรุ่น 1 รุ่น 2 รุ่น 3 ในอเมริกาจะมีพวกนี้น้อยกว่าเมื่อเทียบกัน ถ้ามีก็คนผิวดำซึ่งเขาเป็นคนอเมริกันแล้ว มันคนละแบบกัน ถ้ามองในกรณีของชาติพันธุ์หรือความผูกพัน ผมว่าต้องมองในแง่สังคมวิทยาแบบนี้ ไม่งั้นเราจะไม่เห็นเลย เพราะสงครามปัจจุบันมันเป็นสงครามรูปใหม่ เป็นสงครามทางความคิดอีกที
ซึ่งเราจะเห็นว่าสงครามอุดมการณ์ที่เราเรียกว่าสงครามเย็นมันจบไปแล้วตั้งแต่โซเวียตล่ม จริงๆ ตอนนี้มันกลับมาในรูปของประชาชน ทีนี้เขาจะฝักใฝ่เขาจะชอบอะไร หรือเขาจะมีก๊วนมีอะไรของเขา ผมว่าฝรั่งเศสอาจจะเอาใจใส่น้อยกว่า ทั้งๆ ที่มีปัญหามากกว่าเมื่อเทียบกับอเมริกาหรือเยอรมนีหรืออังกฤษ” นักวิชาการรายนี้ ให้ความเห็น
แม้เป้าหมายของกลุ่มก่อการร้ายไอเอสจะเน้นไปที่ชาติตะวันตก แต่ล่าสุดต้องจับตามองกรณีเว็บไซต์หนังสือพิมพ์ The Straits Times ของสิงคโปร์ รายงานข่าวว่ากลุ่มไอเอส ประกาศจัดตั้งสาขาย่อยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
(อาเซียน) ซึ่งอาจส่งผลให้ปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ทวีความรุนแรงขึ้น
อาจารย์ชัยชนะกล่าวว่า ถ้าจะมีเครือข่ายของกลุ่มไอเอสในอาเซียนจริง คาดว่าน่าจะอยู่ในมาเลเซียและอินโดนีเซียมากกว่า เพราะที่ผ่านมาก็มีรายงานว่าผู้คนบางส่วนจาก 2 ชาตินี้เดินทางไปร่วมกับกลุ่มไอเอสในตะวันออกกลาง แม้กระทั่งเหตุการณ์ใน 3 จังหวัดภาคใต้ของไทย จนทุกวันนี้ก็ยังไม่ปรากฏชัดว่ากลุ่มใดเป็น “หัวขบวนตัวจริง” ซึ่งผิดกับพื้นที่อื่นๆ ที่เปิดเผยชัดเจนว่ากลุ่มใดเป็นขบวนการแบ่งแยกดินแดน
“เขาพูดเรื่องการแยกเป็นรัฐปัตตานี จริงๆ ตัวตนของผู้แยกก็ยังไม่เห็น ไม่เหมือนอาบูไซยาฟหรือว่าโมโร ที่เขาชัดเจนในฟิลิปปินส์ คือเมืองไทยพูดนะครับแต่ยังไม่เห็นตัวตน บีอาร์เอ็นก็ไม่แน่ใจว่าเป็นตัวแทนของฝ่ายทางนั้นมากน้อย
แค่ไหน?” อาจารย์ชัยชนะ ฝากทิ้งท้าย
ไม่มีที่ไหนบนโลกนี้ปลอดภัยอีกต่อไป..แม้คำกล่าวนี้จะมีส่วนจริงเพราะเหตุก่อการร้ายยุคใหม่สามารถเกิดขึ้นที่ไหนและจากใครก็ได้ ผ่านการเผยแพร่แนวคิดหรือการปลุกระดมผ่านสื่อออนไลน์ แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทางป้องกันเอาเสียเลย ดังที่ ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวอิศรา ว่าลำพังจะหวังให้หน่วยงานความมั่นคงภาครัฐทำงานแต่ฝ่ายเดียวคงไม่อาจสกัดกั้นภัยก่อการร้ายได้..
ต้องอาศัยความร่วมมือจากประชาชนในการช่วยกันสอดส่องดูแล..ไม่ว่าในโลกจริงหรือโลกออนไลน์ก็ตาม!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี