สตม.รวบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไต้หวัน ทำยอดหลอกคนวันละราว 2.4 ล้าน...เตือน! แก๊งต้มตุ๋นคอลเซ็นเตอร์ยังระบาดหนัก...ฯลฯ
นี่คือตัวอย่าง “ภัย...แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ที่แม้จะมีการเตือนภัยอยู่เป็นระยะๆ แต่ยังมีคนไทยตกเป็น “เหยื่อ” ต่อเนื่อง ที่สำคัญแม้จะเป็นเรื่องเก่า แต่คนไทยไม่อาจ “ประมาท” เพราะมิจฉาชีพกลุ่มนี้ยังระบาด เป็นภัยสังคมที่ปราบปรามกันไม่หมดเสียที
แหล่งข่าวจากกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ หรือ “บก.ปอศ.”กล่าวว่า “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” คือ ลักษณะกลโกงของคดีร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นคนอื่น ซึ่งเดิม “ชาวไต้หวัน” เป็นผู้คิดริเริ่มการหลอกลวง เริ่มจากการหลอกลวงคนในประเทศตนเอง แล้วขยายสู่ต่างประเทศ มูลค่าความเสียหายทั่วโลกปีละหลายพันล้านบาท
“แก๊งคอลเซ็นเตอร์” มีรูปแบบการหลอกลวงมักปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลาแล้วแต่สถานการณ์ แต่ส่วนใหญ่เป็น 2 ลักษณะ คือ 1.หลอกลวงผู้เสียหายว่าได้รับคืนภาษี VAT, ถูกรางวัล, ได้รับเช็คคืนภาษี เป็นต้น โดยอ้างว่าจะต้องจ่ายค่าบริการเบื้องต้นเป็นค่าบริการและค่าธรรมเนียมต่างๆ เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อเพราะ “ความโลภ” จะโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารของคนร้ายที่เปิดรองรับไว้
2.หลอกลวงผู้เสียหายว่าเป็น “หนี้” ค่าโทรศัพท์ บัตรเครดิต มีบัญชีธนาคารพัวพันกับการค้ายาเสพติด บัญชีธนาคารจะถูกอายัด เป็นต้น เมื่อผู้เสียหายเกิด “ความกลัว” จะนำบัตรเอทีเอ็มไปทำรายการถอนเงินที่ตู้เอทีเอ็ม หรือถอนเงินสดจากบัญชีธนาคารของตนเอง แล้วนำไปฝากเข้าบัญชีธนาคารที่หน้าเคาน์เตอร์ หรือฝากผ่านตู้รับฝากเงินอัตโนมัติ หรือ CDM เข้าบัญชีธนาคารที่กลุ่มคนร้ายเปิดรองรับไว้
“แก๊งคอลเซ็นเตอร์” จะแบ่งหน้าที่เป็น 4 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มคอลเซ็นเตอร์ โดยเครือข่ายจะตั้งศูนย์โทรศัพท์ หรือ Call Center ในต่างประเทศเพื่อสะดวกในการควบคุมพนักงานพูดโทรศัพท์ไม่ให้หลบหนี หรือมีความลับรั่วไหล และไม่ต้องเกรงกลัวว่าจะถูกตำรวจจับกุมเพราะอยู่ในต่างประเทศ เช่น หลอกลวงคนไทยจะตั้งศูนย์โทรศัพท์ที่จีน หรือเวียดนาม เป็นต้น
ใน Call Center จะมีพนักงานพูดโทรศัพท์ ที่ได้รับการฝึกฝนมาก่อน มี “สคริปต์” ให้ฝึกฝน โดยหลักจะหลอกลวงคนประเทศใดจะใช้พนักงานพูดโทรศัพท์คนประเทศนั้น ซึ่งพนักงานกลุ่มนี้จะแบ่งเป็นสายรับช่วงต่อกัน ดังนี้...“พนักงานสาย 1” จะอ้างตัวเป็นพนักงานของธนาคารโดยแจ้งว่าผู้เสียหายเป็นหนี้บัตรเครดิต เมื่อผู้เสียหายพูดคุยด้วย จะหลอกถามข้อมูลผู้เสียหาย จากนั้นจะส่งช่วงต่อให้ “พนักงานสาย 2”
“พนักงานสาย 2” จะอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ, ปปง., ดีเอสไอ หรือฝ่ายกฎหมายของธนาคารกลาง หรือธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งจะมีสคริปต์ให้พูดในลักษณะ “ยัดเยียด” ความผิดให้ผู้เสียหาย เช่น บัญชีธนาคารของผู้เสียหายมีปัญหาพัวพันกับการค้ายาเสพติด จะถูกอายัดและตรวจสอบ จากนั้นจะหลอกถามข้อมูลเงินคงเหลือในบัญชี เมื่อเห็นว่าผู้เสียหายมีเงินอยู่ในบัญชี จะเสนอความช่วยเหลือให้พูดกับผู้บังคับบัญชา เพื่อช่วยเหลือถอนอายัดบัญชี หรือการถูกตั้งข้อกล่าวหา จากนั้นจะส่งให้ “พนักงานสาย 3”
“พนักงานสาย 3” จะอ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงในหน่วยงานนั้นๆ แล้วเสนอให้ความช่วยเหลือ เมื่อผู้เสียหายหลงเชื่อจะทำตามที่คนร้ายบอก ซึ่งก็คือการโอนเงิน-ฝากเงิน ส่งเข้าบัญชีคนร้าย
“พนักงาน Call Center จะมีเงินเดือนประจำและเงินเปอร์เซ็นต์รายได้จากยอดเงินที่หลอกลวงได้ และศูนย์ Call Center จะติดตั้งอินเตอร์เนตความเร็วสูง เพื่อใช้ระบบโทรศัพท์ผ่านทางอินเตอร์เนต หรือ VOIP (Voice Over Internet Protocol) ซึ่งติดตามจับกุมค่อนข้างยาก การโทรศัพท์หาผู้เสียหายจะใช้โปรแกรมในการสุ่มไปเรื่อยๆ”
2.กลุ่มม้าถอนเงิน คือ กลุ่มชาวไต้หวัน, จีน, มาเลเซีย หรือชาวไทยที่ราบสูง ทำหน้าที่ใช้บัตรเอทีเอ็มของธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย หรือธนาคารของประเทศผู้เสียหาย ไปทำการถอนเงินสดจากตู้เอทีเอ็มในประเทศไทย หรือในต่างประเทศ เมื่อได้รับคำสั่งจากผู้ควบคุมว่ามีเงินเข้าบัญชีธนาคารแล้ว ในคดีที่หลอกลวงคนไทยที่พบ “ม้าถอนเงิน” จะถอนเงินสดทั้งในประเทศไทย และต่างประเทศ เช่น ไต้หวันและจีน แหล่งที่ทำงานมักเป็นแหล่งท่องเที่ยว เช่น กรุงเทพฯ, พัทยา, เชียงใหม่ หรือภูเก็ต เพื่อสะดวกในการปะปนกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ
3.กลุ่มจัดหาบัญชีธนาคาร หรือบัตรเอทีเอ็ม มีหน้าที่รวบรวมบัญชี และบัตรเอทีเอ็ม เพื่อส่งให้กลุ่มม้าถอนเงิน และแจ้งรายละเอียดเจ้าของบัญชี, หมายเลขบัญชี, หมายเลขบัตรเอทีเอ็มให้กับผู้ควบคุมม้าถอนเงินและศูนย์ Call Center ส่วนใหญ่จะจ้างประชาชนทั่วไปให้เปิดบัญชีธนาคารประเภทสะสมทรัพย์ พร้อมขอใช้บัตรเอทีเอ็ม ราคาชุดละ 1,000-5,000 บาท เมื่อเปิดบัญชีแล้วจะขยายวงเงินถอนเงินสดสูงสุดแต่ละวัน
4.กลุ่มจัดการทางการเงิน หรือ “โพยก๊วน” มีหน้าที่ในการรวบรวมเงินสดจากม้าถอนเงิน ส่งให้เจ้าของ หรือ “หัวหน้าแก๊ง” ต่อไป โดยส่งผ่านระบบโพยก๊วน คือ ระบบการส่งเงินไปยังต่างประเทศโดยไม่ผ่านระบบของธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทย กลุ่มโพยก๊วนจะมีรายได้จากอัตราส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยนบวกค่าธรรมเนียม
“วิธีการ” ของโพยก๊วน คือ เมื่อลูกค้าต้องการโอนเงินไปยังต่างประเทศ จะนำเงินสดที่ต้องการส่งไปยังต่างประเทศมาจ่ายเองที่สำนักงานของโพยก๊วน หรือนำเงินสดเข้าบัญชีธนาคารของโพยก๊วนก็ได้ จากนั้นโพยก๊วนในประเทศไทยจะแจ้งโพยก๊วน “คู่ค้า” ในต่างประเทศ แล้วนำเงินสด หรือโอนเงินเข้าบัญชีลูกค้าตามที่ต้องการ โดยเสียค่าใช้จ่ายเป็นค่าธรรมเนียมและส่วนต่างของอัตราแลกเปลี่ยน
แหล่งข่าวจาก บก.ปอศ. กล่าวทิ้งท้ายว่า ถ้าไม่อยากตกเป็นเหยื่อควรปฏิบัติดังนี้ 1.“อย่าหลงเชื่อ” คนร้ายที่มักอ้างว่าเป็นหนี้บัตรเครดิต หรือบัญชีธนาคารพัวพันคดียาเสพติด ถ้าได้รับโทรศัพท์ลักษณะนี้รีบ “ตัดสายทิ้ง” แล้วแจ้งตำรวจทันที 2.กรณีโอนเงินให้คนร้ายแล้ว ให้รีบแจ้งตำรวจหรือธนาคารที่ใกล้ที่สุด ซึ่งอาจ “อายัดบัญชี” ธนาคารคนร้ายทันเวลา แต่ต้องจำหลักฐานสำคัญ เช่น หมายเลขโทรศัพท์ และหมายเลขบัญชีธนาคารปลายทางที่ถูกสั่งให้โอนเงินให้ได้ เพื่อประโยชน์ต่อการสืบสวนสอบสวน
ที่สำคัญ...“ตั้งสติเมื่อรับสาย เพราะอาจเป็นคนร้ายหลอกให้โอนเงิน”
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี