“เบาหวาน”…
โรคชื่อเบา แต่ “อันตราย” ไม่ได้เบาตามชื่อ
ที่สำคัญ...แม้โรคนี้จะป้องกันได้ แต่กลับคุกคามชาวโลกแบบไม่ยั้งถึงขั้นวิกฤติ จนองค์การอนามัยโลก (WHO) ยกให้อันตรายยิ่งกว่าโรคเอดส์ เพราะถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่เบาหวานซึ่งอยู่ในกลุ่มโรคไม่ติดเชื้อคร่าชีวิตมนุษย์ได้ใกล้เคียงกับโรคติดเชื้อ
“สมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ”(International Diabetes Federation; IDF) รายงานสถานการณ์โรคเบาหวานปี 2558 ว่า มีผู้เป็นเบาหวานทั่วโลก 387 ล้านคน สาเหตุสำคัญ คือ การไม่ได้รับการวินิจฉัย หรือไม่ได้รับการตรวจคัดกรองว่าเป็นเบาหวานตั้งแต่เบื้องต้น ซึ่งมีสัดส่วนถึงร้อยละ 46 และเมื่อเป็นเบาหวานแล้วจะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ได้ นำไปสู่ภาวะแทรกซ้อน และความสูญเสียที่สำคัญ คือ ตาบอด ถูกตัดขา ไตวาย และการเสียชีวิตเฉียบพลันจากโรคหัวใจและหลอดเลือด
สำหรับประเทศไทย พบว่า คนไทยที่อายุมากกว่า 15 ปี เป็นเบาหวานร้อยละ 6.9 โดยมีประชาชนที่อยู่ในวัยทำงานอายุระหว่าง 45-59 ปี เป็นเบาหวานถึงร้อยละ 10.1 และผู้ที่อายุ 30-44 ปี เป็นเบาหวานร้อยละ 3.4 นอกจากจำนวนจะสูงขึ้นแล้วยังพบว่ามากว่าครึ่งหนึ่งไม่ทราบว่าตัวเองเป็นเบาหวาน
ถือเป็นสถานการณ์ที่ “น่าเป็นห่วง”!!!
นพ.ธวัชชัย พีรพัฒน์ดิษฐ์ นายกสมาคมต่อมไร้ท่อแห่งประเทศไทย กล่าวว่า สถานการณ์โรคเบาหวานในไทยขณะนี้ค่อนข้างน่าเป็นห่วง เพราะคนไทยไม่ตระหนักถึงความสำคัญ ทั้งที่โรคนี้เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย และก่อให้เกิดภาระในการดูแลรักษาค่อนข้างมาก โดยปัจจุบันคนไทยป่วยเป็นเบาหวานสูงถึงร้อยละ 8 หรือประมาณ 4 ล้านคน ในจำนวนนี้ครึ่งหนึ่งไม่รู้ตัวว่าถูกเบาหวาน “คุกคาม”
“ความอ้วน” เป็นปัจจัยที่สำคัญอีกประการหนึ่งที่นำไปสู่โรคเบาหวาน โดยจากการสำรวจพบว่ามากกว่าร้อยละ 30 ของชายไทย และมากกว่าร้อยละ 40 ของหญิงไทย มีน้ำหนักตัวเกิน ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานเพิ่มขึ้นอย่างน้อยร้อยละ 6.8 ส่วนคนที่อ้วนมากจะเสี่ยงสูงถึงร้อยละ 14.3 อย่างไรก็ตามความเสี่ยงนี้จะลดลงถ้าปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และใช้ชีวิตให้มีกิจกรรมทางกายมากขึ้น ควบคุมน้ำหนักอย่างเข้มงวด จะช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวานได้ร้อยละ 70 ในคนที่มีความเสี่ยงสูง
“การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยโรคเบาหวานในไทย ส่วนหนึ่งเกิดจากการมีจำนวนประชากรสูงอายุมากขึ้น และการเพิ่มขึ้นของโรคอ้วนจากพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่ถูกต้อง ขาดการออกกำลังกายอย่างเหมาะสม โดยคาดว่าอีก 20 ปีข้างหน้า ไทยจะมีผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้นอีก 1.1 ล้านคน” นพ.ธวัชชัย กล่าว
นพ.ธวัชชัยกล่าวอีกว่า อันตรายของเบาหวาน คือ “กว่าจะรู้ตัว ก็สายเสียแล้ว” เพราะโรคนี้ถ้ารู้ตัวว่าป่วยช้าจะทำให้เสียโอกาสในการรักษา และยังทำให้เกิดภาวะโรคแทรกซ้อนต่างๆ ทั้งเฉียบพลันและเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ ตาบอด ไตวาย หรือต้องตัดอวัยวะ เป็นต้น ซึ่งแม้ปัจจุบันพัฒนาการของการรักษาโรคเบาหวานจะรุดหน้าไปรวดเร็วมาก แต่การสร้างความตระหนักรู้ให้คนในสังคมยังเป็นเรื่องสำคัญ เพราะเบาหวานป้องกันได้
ด้าน “ทพ.สุธา เจียรมณีโชติชัย” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า “น้ำตาล” เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวาน โดยจากข้อมูลพบว่า 10 ปีที่ผ่านมา คนไทยบริโภคน้ำตาลในอัตราที่สูงขึ้นต่อเนื่อง เฉลี่ยคนละประมาณ 34 กิโลกรัมต่อปี ซึ่งความหวานจากน้ำตาลมีผลกระทบต่อการเสียชีวิตด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง โดยเฉพาะโรคเบาหวาน นอกจากนี้ พบว่า “พฤติกรรมการกิน” ที่ผู้ปกครองมักให้ลูกทานหวานตั้งแต่เด็กจึงติดอาหารรสหวานไปจนโต จากรุ่นสู่รุ่น ดังนั้ นทำอย่างไรที่จะตัดวงจรนี้ได้
“กรมอนามัยจะรณรงค์ให้เกิดการลดบริโภคน้ำตาล โดยนำเสนอข้อมูลให้ผู้บริโภครับรู้ถึงพิษภัยว่าหากบริโภคน้ำตาลมากๆ จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน รวมถึงตรวจสอบการส่งเสริมการขายของผู้ผลิตสินค้าบางประเภทที่จัดแคมเปญชิงโชค เอารางวัลเป็นตัวล่อ ผู้บริโภคจึงซื้อผลิตภัณฑ์มาเยอะๆ ทำให้บริโภคน้ำตาลปริมาณสูง ซึ่งกรมอนามัยต้องประสานกับสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) และองค์การอาหารและยา(อย.) เข้ามาดูแลเรื่องนี้ว่ามีแนวทางแก้ไขได้อย่างไร” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว
ส่วน พล.ต.แพทย์หญิง ยุพิน เบ็ญจสุรัตน์วงศ์ กรรมการบริหาราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า การปรับพฤติกรรมการกินและการออกกำลังกายเป็นหลักสำคัญของผู้ป่วยเบาหวาน และกลุ่มผู้มีความเสี่ยง โดยผู้ป่วยเบาหวานควรตรวจและควบคุมปริมาณน้ำตาลอย่างสม่ำเสมอ ควรเลือกกินผักให้มากขึ้นประมาณ 2 ทัพพีต่อวัน หลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวานมาก หรือมีคาร์โบไฮเดรตสูง เช่น ส้ม กล้วยน้ำว้า ขนุน ทุเรียน ข้าวโพด เป็นต้น ส่วนผู้ที่มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันภาวะ “โรคอ้วนลงพุง” ซึ่งจะทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานมากขึ้น โดยโรคอ้วนลงพุงเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน 2 เท่า
“ผู้ป่วยเบาหวานส่วนใหญ่ร้อยละ 65 จะเป็นผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนเมือง และ 1 ใน 4 ของอุบัติการณ์โรคเบาหวานเกิดจากการไม่ออกกำลังกาย ที่น่าตกใจ คือ ครึ่งหนึ่งของผู้ป่วยเบาหวานนั้นไม่รู้ตัวว่าตนเองกำลังป่วยเป็นโรคเบาหวาน นอกจากนี้ผู้ป่วยอาจทำใจลำบากเมื่อทราบว่าเป็นโรคเบาหวาน เพราะโรคนี้ไม่มีทางรักษาให้หายขาดได้ ดังนั้น สิ่งที่ผู้ป่วยต้องเผชิญคงหนีไม่พ้นโรคเครียด โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีอายุน้อยอาจนำไปสู่โรคซึมเศร้า ดังนั้นกำลังใจจากครอบครัวจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด” พล.ต.แพทย์หญิง ยุพิน กล่าว
ขณะที่นายมิไฮ คอนสแตนติน อีริเมสซู ผู้จัดการทั่วไป บริษัทโนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา(ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โรคเบาหวานถือเป็น “วิกฤติสุขภาพ” ระดับโลก โดยทั่วโลกมีผู้ป่วยเบาหวานรวมกันมากถึง 415 ล้านคน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเป็น 642 ล้านคน ในปี ค.ศ.2040 สถานการณ์โรคเบาหวานจึงเป็นเรื่องใหญ่ที่ทุกประเทศต้องให้ความสำคัญ เนื่องจากโรคนี้นอกจากจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัวและสังคมที่จะต้องรับภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาที่สูงด้วย จนทำให้ประเทศต้องสูญเสียโอกาสในการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมด้วยเช่นกัน ดังสุนทรพจน์ของผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก ที่กล่าวว่า…
“ถ้าเราไม่จัดการกับปัญหาเหล่านี้อย่างเร่งด่วน ค่าใช้จ่ายอันเกิดจากโรคเหล่านี้จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดที่แม้แต่ประเทศที่ร่ำรวยที่สุดก็ไม่สามารถแบกรับได้”
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี