“วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำก็นองเต็มตลิ่ง...”
เพลงนี้คุ้นหูคนไทยเพราะเป็นเพลงประจำ “วันลอยกระทง” อีกหนึ่งวันสำคัญ และประเพณีไทยที่สืบต่อกันมาแต่โบราณสู่ยุคปัจจุบัน ภาพที่เห็นชินตา คือ แสงไฟและเปลวเทียนจาก “กระทง” ที่ลอยอยู่กลางแม่น้ำ ลำคลอง ตามคติความเชื่อหลายอย่าง หนึ่งในนั้น คือ เพื่อ “ขอขมา” แม่คงคา ที่ได้อาศัยน้ำกินและใช้ รวมถึงได้ทิ้งและถ่าย “สิ่งปฏิกูล” ลงไปในน้ำด้วย
หลายปีที่ผ่านมาภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง พยายามใช้ “วันลอยกระทง” เป็นจุดเริ่มต้นของโครงการอนุรักษ์ต่างๆ เพื่อหวังให้ “สายน้ำ” ที่นับวันยิ่งเสื่อมโทรมลง “คืนชีพ” กลับมา แต่ดูเหมือนว่าจะบรรลุผลไม่มากนัก เพราะลำน้ำของไทยหลายสายไม่ได้มีสภาพดีขึ้น บางแห่งกลับเสื่อมโทรมลงด้วยซ้ำไป
ข้อมูลจาก “กรมควบคุมมลพิษ” ระบุว่า จากการตรวจสอบ “คุณภาพนาผิวดิน” ของแหล่งน้ำสำคัญทั่วประเทศในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2558 ในแม่น้ำสายหลัก 48 สาย และแหล่งน้ำนิ่ง 6 แหล่ง ประกอบด้วย กว๊านพะเยา บึงบอระเพ็ด หนองหาน ทะเลน้อย ทะเลหลวง และทะเลสาบสงขลา จำนวน 366 จุด พบว่าคุณภาพน้ำ ผิวดินส่วนใหญ่ของประเทศอยู่ในเกณฑ์ “พอใช้-ดี” เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2557 โดยแม่น้ำบางสายมีคุณภาพน้ำดีขึ้นมาก ได้แก่ แม่น้ำหลังสวน และแม่น้ำตาปี แต่มีแม่น้ำบางสายที่คุณภาพน้ำ “แย่ลงมาก” เช่น แม่น้ำระยอง แม่น้ำพังราด
ภาพรวมคุณภาพน้ำผิวดิน จากการประเมินคุณภาพน้ำโดยใช้ดัชนีคุณภาพน้ำแหล่งน้ำผิวดิน(Water Quality Index: WQI) พบว่า แหล่งน้ำของประเทศมีคุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์ “ดีมาก” เพียงร้อยละ 2 เกณฑ์ดี ร้อยละ 36 ระดับพอใช้ ร้อยละ 41 และมีคุณภาพน้ำเสื่อมโทรม ร้อยละ 21 “สาเหตุ” ของปัญหาคุณภาพน้ำที่สำคัญมาจากการระบาย “น้ำเสีย” จากชุมชน การประกอบกิจการอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว การชะล้างปุ๋ยจากการเกษตร และน้ำเสียจากการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ
เมื่อแบ่งคุณภาพน้ำผิวดินเป็น “รายภาค” พบว่า...“ภาคเหนือ” แหล่งน้ำส่วนใหญ่ มีคุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์ดี โดยแหล่งน้ำที่มีคุณภาพน้ำเสื่อมโทรม คือ แม่น้ำกวง บริเวณพื้นที่เทศบาลเมืองลำพูน จ.ลำพูน...“ภาคใต้” ส่วนใหญ่มีคุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์ดี ไม่มีปัญหาคุณภาพน้ำ...“ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ” มีคุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์พอใช้
“ภาคกลาง” ส่วนใหญ่มีคุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์พอใช้และเสื่อมโทรม แหล่งน้ำที่อยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรมมาโดยตลอด คือ “แม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง” ตั้งแต่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ ถึง อ.บางกรวย จ.นนทบุรี และแม่น้ำท่าจีน ตั้งแต่ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ถึง อ.วัดสิงห์ จ.ชัยนาท...“ภาคตะวันออก” แหล่งน้ำส่วนใหญ่มีคุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์พอใช้และเสื่อมโทรม แหล่งน้ำเสื่อมโทรม ได้แก่ แม่น้ำพังราด และแม่น้ำระยอง
“สรุป” คุณภาพน้ำของแหล่งน้ำภาคใต้ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีคุณภาพน้ำดีกว่าภาคอื่นๆ ไม่พบแหล่งน้ำที่มีคุณภาพน้ำอยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรม และเสื่อมโทรมมาก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2557...แหล่งน้ำภาคเหนือ และภาคใต้ มีคุณภาพน้ำโดยรวมดีขึ้น...แหล่งน้ำภาคกลาง และภาคตะวันออก มีคุณภาพน้ำโดยรวม “แย่ลง” สาเหตุหลักส่วนหนึ่ง เนื่องจากปีนี้มีปริมาณน้ำน้อยกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจาก“ภาวะภัยแล้ง”
คุณภาพน้ำใน “แม่น้ำสายหลัก” ทั้ง 48 สาย พบว่า มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐานที่กำหนดเพียง 11 สาย หรือร้อยละ 19 เท่านั้น
รายงานของ “กรมควบคุมมลพิษ” ระบุว่า เมื่อพิจารณาข้อมูลตลอด 10 ปีที่ผ่านมา พบว่า บริเวณที่มีปัญหาคุณภาพน้ำ “วิกฤติ” ส่วนใหญ่เป็นเขตชุมชนเมือง เช่น อ.เมือง จ.สมุทรปราการ , กรุงเทพมหานคร , อ.บางกรวย จ.นนทบุรี , อ.เมือง จ.สมุทรสาคร , อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม และ อ.เมือง จ.นครราชสีมา เป็นต้น สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาความ “เน่าเสีย-สกปรก” ของแหล่งน้ำตลอด 10 ปีที่ผ่านมา มีปัจจัยสำคัญ คือ ชุมชน เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของประชากร การพัฒนา และการขยายตัวของชุมชน โดยเฉพาะ “ชุมชนริมน้ำ” ที่ส่วนใหญ่มักระบายน้ำเสียลงสู่แหล่งน้ำโดยตรง
สาเหตุมาจาก “ระบบบำบัดน้ำเสีย” โดยรวมของชุมชน ช่วงปี 2553-2557 มีจำนวนเพิ่มขึ้นน้อยมาก ไม่เพียงพอต่อการบำบัดน้ำเสียที่เพิ่มขึ้นตามการขยายตัว และการเจริญเติบโตของชุมชน โดยปี 2557 มีปริมาณน้ำเสียจากชุมชนเกิดขึ้น 10.3 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) ต่อวัน ขณะที่ระบบบำบัดรองรับน้ำเสียที่เกิดขึ้นได้เพียงร้อยละ 31 พื้นที่ที่มีน้ำเสียชุมชนเกิดขึ้นมากที่สุด คือ “กรุงเทพมหานคร” โดยมีน้ำเสียประมาณ 2 ล้าน ลบ.ม.ต่อวัน
นอกจากนี้ปัญหาคุณภาพน้ำที่ผ่านมา ยังเกิดจากการขาดความร่วมมือในการช่วยกันดูแลรักษาแหล่งน้ำในพื้นที่ของตนเอง, ผู้ประกอบการบางส่วนหลบเลี่ยง ละเว้น ไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย, การบังคับใช้กฎหมายของภาครัฐยังทำได้ไม่ทั่วถึง
สำหรับแนวทางแก้ไขปัญหา ได้แก่ ปรับแก้ไขกฎระเบียบ หรือกฎหมายภายใต้พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) ควบคุมอาคาร ในประเด็นปัญหาที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติงาน หรือการบังคับใช้กฎหมายตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ 2535 เพื่อควบคุมการจัดการน้ำเสียจากชุมชน, เสนอเรื่องการขออนุญาตประกอบกิจการ การตั้งโรงงานอุตสาหกรรมหรือสถานประกอบการขนาดใหญ่ ต้องคำนึงถึงศักยภาพการรองรับของเสีย หรือมลพิษของพื้นที่, เสริมสร้างศักยภาพการบริหารจัดการคุณภาพน้ำและผลักดันการจัดการมลพิษทางน้ำอย่างมีส่วนร่วม และเชื่อมโยงฐานข้อมูลระหว่างหน่วยงาน โดยให้ประชาชนและหน่วยงานต่างๆ เข้าถึงแหล่งข้อมูลได้
ทั้งหมดนี้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนดในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 11 พ.ศ. 2555–2559, แผนจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อม พ.ศ.2555–2559 และแผนจัดการมลพิษ พ.ศ.2555–2559
คนสมัยก่อนดูแลรักษาสายน้ำเป็นอย่างดี คือ มีความ “กตัญญู” แต่เมื่อเวลาผ่านไปแหล่งน้ำกลับสกปรกมากขึ้น...งานลอยกระทงปีนี้ จึงหวังว่าทุกภาคส่วนจะแสดงความกตัญญูต่อสายน้ำอย่างแท้จริง เพื่อช่วยกันดูแลรักษาแหล่งน้ำที่เสื่อมโทรมให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
อย่าให้คำ “ขอขมา” ที่เปล่งออกไป เป็นแค่ลมปากเป่า...
เลือนหายไปพร้อมกระทง ที่จมลงกลางสายน้ำ...
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี