“การจัดตั้งชุมชนเมื่อปี 2555 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มของการต่อสู้นั้น ยอมรับว่า แนวทางการต่อสู้มีความอ่อนแอ และสะเปะสะปะ
เรามีการบริหารจัดการแบบผู้นำเดี่ยว ที่ใครพูดเก่งหรือเสียงดังก็เป็นผู้นำไป ตรงนี้ถือเป็นสิ่งที่ไม่ตอบโจทย์เรื่องที่ดินทำกิน ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน เพราะกลุ่มผู้มีอิทธิพลรวมไปถึงพวกนายทุน มีทีมทนาย ฝ่ายกฎหมาย ที่ดูล้ำหน้ากว่าเราเยอะมาก คนพวกนี้จะใช้ข้อกฎหมายมารังแกเราเพื่อให้เราออกนอกพื้นที่ให้ได้ ด้วยความที่ชาวบ้านไม่รู้กฎหมาย สุดท้ายต้องกลายเป็นนักโทษหนีคดี ทั้งที่ตัวเองยังไม่ได้สู้”
คำบอกเล่าจาก ธีรเนตร ไชยสุวรรณ ตัวแทนชาวบ้านชุมชนคลองไทรพัฒนา ต.ไทรทอง อ.ชัยบุรี จ.สุราษฎร์ธานี ชุมชนแห่งนี้ผ่านการต่อสู้กับกลุ่มอิทธิพลมืดจากประเด็นความขัดแย้งในการถือครองที่ดิน กรณีที่ดินเอกชนซึ่งได้สัมปทานทำสวนปาล์มหมดสัญญาลง และศาลตัดสินให้บริษัทยุติการใช้ประโยชน์จากที่ดินดังกล่าว
ทว่าบริษัทแห่งนี้กลับยังพยายามยึดครองที่ดินไว้อยู่ และเมื่อชาวบ้านโดยรอบพยายามเข้าไปขอใช้ประโยชน์ กลับเจอข่มขู่ทั้งวิธีการบนดินและใต้ดิน ไม่ว่าจะเป็นการฟ้องร้องคดี การนำรถไถมาทำลายกระท่อมของชาวบ้านจำนวนหลายสิบหลัง รวมถึงมีชาวบ้านบางคนต้อง “สังเวยชีวิต” ให้กับการต่อสู้ครั้งนี้
ระหว่างปี 2553-2558 มีการลอบสังหารแกนนำชุมชนไปแล้วถึง 4 ศพ!!!
ธีรเนตร เล่าต่อไปว่า จากวิกฤติที่เกิดขึ้น ทำให้ต้องปรับเปลี่ยนวิธีการต่อสู้จาก “ตัวใครตัวมัน” มาเป็น “รวมกันเราอยู่”
ร่วมคิดร่วมทำ เมื่อมีประเด็นไหนที่ต้องการจะปรับปรุง เปลี่ยนแปลง หรือพัฒนา ชาวบ้านก็จะมาพูดคุยกันในที่ประชุม ซึ่งปกติจะประชุมใหญ่กันเดือนละ 1 ครั้ง นอกจากนี้ยังมีการประชุมย่อยเป็นรายวัน เพื่อสรุปสถานการณ์ประจำวัน โดยเฉพาะการรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน รวมถึงให้ความรู้กับชาวบ้านทั้งผู้ใหญ่และเยาวชนถึงสิทธิอันพึงมีพึงได้ตามกฎหมาย และเพื่อความสามัคคีของชุมชนด้วย
“เรามีรายงานจากป้อมรักษาความปลอดภัยทั้ง 4 จุดรอบหมู่บ้าน ว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่ เพราะเราเคยประสบเหตุการณ์สุดแสนเจ็บปวด ที่พี่น้องของเราถูกยิงเสียชีวิตไป 4 ราย รวมทั้งมีการอธิบายข้อกฎหมายให้กับชาวบ้านในทุกๆ เช้าโดยเฉพาะการมีสิทธิ์ในที่ดินของ ส.ป.ก. ในฐานะเกษตรกรผู้ไม่มีที่ดินทำกิน
นอกจากนี้ยังมีการปลูกฝังเยาชน เราใช้กระบวนการมีส่วนร่วม ร่วมคิด ใช้แรงงาน ทำกิจกรรมร่วมกัน เพื่อให้คนรุ่นใหม่
รุ่นเก่า มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน เช่น วัฒนธรรมการมีส่วนร่วม การร้องรำทำเพลงเพื่อสร้างความสามัคคีในชุมชน เพื่อให้คนในชุมชนรู้คุณค่าของผืนที่ดิน ที่ยึดโยงกับการใช้ชีวิตในปัจจุบัน” ธีรเนตร กล่าว
ตัวแทนชาวชุมชนคลองไทรรายนี้ กล่าวว่า การแบ่งสันปันส่วนในที่ดินเพื่อให้เกิดความยั่งยืนนั้นดำเนินการด้วยระบบ “โฉนดชุมชน” โดยพื้นที่ในชุมชนซึ่งเป็นที่ดิน ส.ป.ก. มีประมาณ 1,007 ไร่ สิ่งแรกที่ต้องกำหนดคือ “พื้นที่ส่วนกลาง” เพื่อไว้ทำกิจกรรมหรือการประชุมร่วมกันของคนในหมู่บ้าน จากนั้นจึงนำที่ดินที่เหลือแบ่งให้กับคนในชุมชน ซึ่งปัจจุบันมีทั้งหมด 65 ครอบครัว แบ่งให้ครอบครัวละ 11 ไร่
สำหรับการใช้ที่ดินของแต่ละครอบครัว จะแบ่งเป็นพื้นที่เพาะปลูก 11 ไร่ และพื้นที่อยู่อาศัย 1 ไร่ โดยในพื้นที่เพาะปลูก
มีการกำชับว่า “ต้องปลูกพืชอาหาร” อาทิ ข้าว ผัก ผลไม้ ไว้กินด้วย “ไม่ใช่ปลูกแต่พืชเศรษฐกิจ” อย่างปาล์มน้ำมันหรือยางพาราแต่เพียงอย่างเดียว เพื่อที่จะได้ “ลดค่าใช้จ่าย” ในด้านอาหารการกิน
สำคัญที่สุด..มีการ “ถือสัตย์สาบาน” ว่าจะไม่นำที่ดินผืนนี้ที่แลกมาด้วย “เลือดและน้ำตา” ไปขายเป็นอันขาด!!!
“ในการถือครองที่ดินเรามีสัตยาบันร่วมกันว่า จะไม่นำแปลงที่ดินในการจัดสรรนี้ไปขายเด็ดขาด ที่ดินทั้งหมดนี้
มีไว้เฉพาะเพื่อทำมาหากินเลี้ยงชีพเท่านั้น แต่ถ้าใครมีเหตุจำเป็นต้องออกจากพื้นที่ ทางเราก็จะทำการเวนคืนที่ดินให้ โดยใช้เงินจากกองทุนที่ดิน ที่ขณะนี้เชื่อมโยงกับธนาคารที่ดินในประเทศ ซึ่งคนที่จะออกจากพื้นที่ จะสามารถนำเงินส่วนนี้ ไปตั้งต้นใช้ชีวิตต่อในพื้นที่อื่นได้” ธีรเนตร ระบุ
ขณะที่ จรรยา เรืองทอง ตัวแทนชาวบ้านชุมชนคลองไทรพัฒนาอีกราย กล่าวว่า ในการต่อสู้ครั้งนี้พวกเขาต้องขอบคุณ สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) ที่เข้ามาช่วยเหลือให้ความรู้ด้านกฎหมายกับชาวบ้าน รวมถึงเรื่องการปลูกพืชอาหารควบคู่กับพืชเศรษฐกิจ เพื่อให้คุณภาพชีวิตของคนในชุมชนดีขึ้นอย่างยั่งยืน
“ต้องยอมรับว่าในช่วงนั้นชุมชนของเราอ่อนแอเป็นอย่างมาก กระทั่งมีสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้มาช่วยเติมเต็ม ทั้งในเรื่องของการให้ความรู้เรื่องกฎหมาย รวมไปถึงการบริหารจัดการที่ดินในชุมชน จากเดิมไม่มีความรู้ว่า การปลูกพืชอาหารถือเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง เมื่อปลูกพืชเศรษฐกิจแล้วต้องมีการปลูกพืชอาหารควบคู่กันไปด้วย ทำให้เกิดความมั่นคงทางอาหารและทางเศรษฐกิจ ไม่ต้องซื้อเขากินแทบทุกอย่าง ที่สำคัญเมื่อมีเหลือยังสามารถส่งขายได้เงินมาเลี้ยงครอบครัวได้อีกด้วย ตามหลักคิดที่ว่าเราปลูกทุกอย่างที่อยากกิน และเรากินทุกอย่างที่เราปลูก” จรรยา กล่าว
เรื่องของความขัดแย้งในการถือครองและใช้ที่ดิน ระหว่างชาวบ้านคนเล็กคนน้อยกับนายทุนที่มีความพร้อมทั้งอำนาจเงิน อำนาจกฎหมาย และอำนาจมืด เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาทุกยุคสมัยและยังคงดำรงอยู่ในปัจจุบัน ที่ผ่านมาแม้ภาครัฐพยายามแก้ไขปัญหาไม่ว่าจะเป็นการบังคับใช้กฎหมายจัดการกับผู้บุกรุก หรือการจัดสรรที่ดินให้กับผู้ยากไร้
แต่สุดท้ายก็ไม่สามารถแก้ไขให้สถานการณ์ดีขึ้นได้ ทั้งนี้สาเหตุสำคัญมาจากการดำเนินการแบบล่าช้า ไม่ครบวงจร
โดยเฉพาะนโยบายการจัดสรรที่ดินที่ไม่เข้าใจสภาพความเป็นจริงรวมไปถึงการไม่เปิดให้ภาคประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการตัดสินใจ
ซึ่ง สุรพล สงฆ์รัก กรรมการบริหารสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) ให้มุมมองเรื่องนี้ว่า การต่อสู้ของประชาชนเกี่ยวกับสิทธิที่ทำกินไม่ใช่เรื่องผิด และภาครัฐเองต้องหนุนเสริมให้คนยากไร้มีสิทธิในที่ทำกิน เพื่อให้เขาได้เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง เลี้ยงครอบครัว ไม่ใช่ไปขับไล่หรือโอนอ่อนตามระบบทุน
“ชุมชนคลองไทรพัฒนา นับเป็นชุมชนตัวอย่างที่สู้ในเรื่องของสิทธิที่ทำกินได้อย่างน่าชื่นชม แม้จะถูกนายทุนผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ข่มขู่คุกคามจนถึงขั้นเอาชีวิตแล้วก็ตาม แต่พวกเขาเหล่านี้ก็ไม่ย่อท้อ ยังรวมตัวยืนหยัดต่อสู้ต่อไป ซึ่งเรามั่นใจว่าเมื่อชุมชนคลองไทรพัฒนาต่อสู้จนชนะและประสบความสำเร็จ จะเป็นตัวอย่างในการขยายต่อยอดแนวทางการต่อสู้ในสิทธิ
ที่ทำกินไปยังพื้นที่อื่นทั่วประเทศ ซึ่งส่งผลสำคัญในความยั่งยืนเกี่ยวกับสิทธิที่ทำกินของผู้ยากไร้ในประเทศไทยต่อไป” กรรมการบริหารสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ กล่าวทิ้งท้าย
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี