ปิดฉากกันไประยะหนึ่งแล้วสำหรับการ “ประมูล 4G” บนคลื่นความถี่ย่าน 1800 เมกะเฮิรตซ์(MHz) ที่มีมูลค่าเฉียดแสนล้านบาท นับเป็นต้นทุนที่ผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือ “โอเปอร์เรเตอร์” ต้องรับภาระอย่างหนัก จนทำให้ผู้ใช้บริการหวั่นเกรงว่าโอเปอร์เรเตอร์จะ “ถอนทุนคืน” ด้วยการคิด “ค่าบริการ” แพงขึ้น ภายใต้คำถามที่ว่าสัญญาณ “4G...แรงจริง” คุ้มค่าต่อการจ่ายเงินเพิ่มขึ้นหรือไม่.???
ข้อกังวลดังกล่าวเป็น “บทเรียน” มาตั้งแต่ครั้งประมูล 3G ซึ่งคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ “กสทช.” ได้ประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม หรือ “กทค.” และมีประกาศเรื่องค่าบริการออกมา กำหนดให้ผู้ได้รับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่ย่าน 2.1 กิกะเฮิรตซ์(GHz) ต้อง “ลดราคา” ค่าบริการลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 15 ของค่าบริการ 2G โดย กสทช.ได้ประกาศเกณฑ์ “ราคากลาง” ของการให้บริการผ่านระบบ 3G ออกมา คือ ค่าโทร.ต้องไม่เกิน 0.82 บาทต่อนาที, ข้อความตัวอักษร (SMS) ไม่เกิน 1.33 บาทต่อข้อความ, ข้อความมัลติมีเดีย (MMS) ไม่เกิน 3.32 บาทต่อข้อความ และอินเตอร์เนตไม่เกิน 0.28 บาทต่อเมกะไบท์(MB)
ทว่าการกำหนดค่าบริการของผู้ให้บริการแต่ละราย มีทั้งที่ไม่ได้ลดราคาลงมาตามที่ กทค. กำหนด หรือแม้บางรายจะตั้งค่าบริการต่ำกว่าที่ กทค.กำหนดออกมาอยู่แล้ว ภายใต้ “แพ็กเกจ” ต่างๆ แต่มองอีกมุมหนึ่งพบว่าผู้ใช้บริการที่จ่ายค่าบริการต่ำกว่าราคาที่ กทค. กำหนดอยู่แล้ว ไม่ได้ประโยชน์จากการปรับลดราคา เพราะยังต้องจ่ายในอัตราเท่าเดิม...แล้วครั้งนี้จะ “ซ้ำรอยเดิม” หรือไม่.???
“ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา” กสทช.ด้านคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม กล่าวว่า ปัจจุบันมีบริการ 4G ให้บริการอยู่ในตลาดอย่างน้อย 2 ราย และบริการ 3G มี 5 ราย เมื่อประมูลคลื่นไปแพงแล้วไปคิดค่าบริการแพง ผู้บริโภคก็มีสิทธิ์ที่จะไปใช้บริการ 4G หรือ 3G เดิมที่มีอยู่ ซึ่งราคาถูกกำกับโดยตลาดอยู่แล้ว นอกจากนี้การกำหนดในเงื่อนไขการประมูลให้อัตราค่าบริการต้องต่ำกว่า 3G การเปิดให้บริการต้องมีอย่างน้อย 1 แพ็กเกจ ที่มีคุณภาพดีไม่ต่ำกว่า 3G วิธีกำกับดูแลแบบนี้ต่างจากตอนประมูล 3G เพราะเป็นเงื่อนไขที่จับต้องได้ ให้ผู้บริโภคเลือกได้ ตลาดจะเป็นตัวกำหนดเพดานไม่ให้ราคาสูงเกิน
“แนวโน้มค่าบริการ 4G ทั่วโลก มีอัตราค่าบริการต่ำกว่า 3G เนื่องจากเทคโนโลยีที่มีความสามารถเพิ่มขึ้น 4G รับส่งข้อมูลและรองรับผู้ใช้บริการได้มากกว่า เร็วกว่า รายได้ก็มากกว่า ต้นทุนที่คิดว่าแพงจะได้ผลตอบแทนที่มากกว่า ดังนั้นค่าบริการในไทยต้องถูกลงเหมือนทั่วโลก” ประวิทย์ กล่าว
ด้าน “ฐากร ตัณฑสิทธิ์” เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า การที่ราคาประมูล 4G สูงมาก ไม่ใช่ว่าค่าบริการจะสูงขึ้นตามไปด้วย แต่จะมีราคาถูกลง ขอให้ประชาชน ผู้ใช้บริการมั่นใจได้เพราะ กสทช.ออกกฎให้ผู้รับใบอนุญาต 4G ต้องมีค่าโทร.ถูกกว่า 3G บนคลื่นความถี่ 2.1 GHz คือ ค่าโทร.ต้องไม่เกิน 69 สตางค์ต่อนาที และค่าเนตต้องไม่เกิน 26 สตางค์ต่อเมกะบิต อีกทั้งเมื่อ 4G ถูกลง กลไกตลาดจะทำให้ค่าบริการ 3G ถูกลงตามไปด้วย
ขณะที่ “พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ” รองประธาน กสทช. ในฐานะประธาน กทค. กล่าวว่า กสทช.กำหนดให้ผู้รับใบอนุญาต หรือไลเซ่นส์ 4G ต้องจัดส่ง “แผนคุ้มครองผู้บริโภค” ต่อกทค.ก่อนเริ่มให้บริการและต้องดำเนินการตามแผนทันทีที่เริ่มให้บริการ รวมถึงการกำหนดอัตรา “ค่าบริการ” ที่สมเหตุสมผล ไม่เอาเปรียบผู้บริโภค และการให้บริการมีคุณภาพ ตามหลักเกณฑ์ที่ กทค.กำหนด โดยผู้รับใบอนุญาตต้องกำหนดอัตราค่าบริการสำหรับบริการเสียง หรือวอยซ์ และบริการข้อมูล หรือดาต้า โดยเฉลี่ยแล้วต้องต่ำกว่าอัตราค่าบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ความถี่ย่าน 2.1 GHz ณ วันที่ประกาศนี้มีผลบังคับใช้
ที่สำคัญ คือ ผู้รับใบอนุญาตต้องจัดให้มีรายการส่งเสริมการขายอย่างน้อย 1 “แพ็กเกจ” ที่ส่งเสริมและเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้บริการเข้าถึงบริการโทรคมนาคมที่ใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 4G บนคลื่นความถี่ย่าน 1800 MHz โดยมีอัตราค่าบริการต่ำกว่าอัตราค่าบริการเฉลี่ยของบริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G บนคลื่นความถี่ย่าน 2.1 GHz ณ วันที่ประกาศ มีผลบังคับใช้ และต้องมีคุณภาพการให้บริการไม่ด้อยกว่า 3G
“ไทยเป็นประเทศที่ใช้ดาต้ามากที่สุดในโลก ทำให้ถนนที่ใช้วิ่งไม่พอ โอเปอร์เรเตอร์ต่างก็ต้องพยายามหาคลื่นความถี่มารองรับการใช้ดาต้าที่สูงขึ้น ยิ่งเราใช้มากค่าบริการก็ยิ่งสูงขึ้นทำให้เราต้องออกกฎหมายกำหนดอัตราค่าบริการที่ต้องถูกลงกว่า 3G” พ.อ.เศรษฐพงค์ กล่าว
พ.อ.เศรษฐพงค์ กล่าวด้วยว่า จากการวิเคราะห์ของสำนักงาน กสทช. คาดการณ์ว่าประเทศไทยจะมีความต้องการใช้งานคลื่นความถี่สำหรับบริการโทรศัพท์แบบเคลื่อนที่อย่างมากในอนาคต เพื่อตอบสนองความต้องการใช้งานของผู้ใช้บริการที่เริ่มหันมาใช้บริการข้อมูลมากขึ้น และตลาดผู้ใช้บริการ 2G จะน้อยลงในขณะที่ผู้ใช้บริการ 3G และ 4G จะมีมากขึ้น
ณ สิ้นไตรมาสที่ 1 ปี 2558 จำนวนผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่อยู่บนเครือข่าย 3G ในประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 85.6 ล้านเลขหมายหรือคิดเป็นร้อยละ 91.7 ของผู้ใช้งานโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั้งหมด ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าตลาดสำหรับ 3G และ 4G ยังเติบโตได้อีกมาก อย่างไรก็ตามขึ้นอยู่กับแผนการบริหารจัดการคลื่นความถี่ทั้งของ กสทช. และการประกอบกิจการของผู้ให้บริการแต่ละรายที่จะทำให้การถือครองความถี่ และการใช้งานคลื่นความถี่เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
นอกจากนี้ มีการคาดการณ์ว่าปริมาณการใช้อินเตอร์เนตเคลื่อนที่จะเพิ่มขึ้น โดยปี 2563 จะมีปริมาณการใช้งานข้อมูลเฉลี่ย 192,265 MB ต่อเลขหมายต่อเดือน เพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่มีปริมาณการใช้งาน 72,531 MB ต่อเลขหมายต่อเดือน ถึงร้อยละ 165 หากพิจารณาลักษณะการใช้งานอินเตอร์เนต พบว่าปี 2563 จะเน้นการใช้ Internet Browsing โดยมีสัดส่วนร้อยละ 32 ของปริมาณการใช้งานอินเตอร์เนตทั้งหมดในปี 2563 ขณะที่ปี 2558 สัดส่วนการใช้งาน Internet Browsing อยู่ที่ประมาณ 18,000 MB ต่อเลขหมายต่อเดือน หรือร้อยละ 25 ของปริมาณการใช้ทั้งหมดในปี 2558
พ.อ.เศรษฐพงค์ กล่าวทิ้งท้ายว่า ผู้ใช้บริการส่วนใหญ่มีสัดส่วนการใช้งานอินเตอร์เนตเคลื่อนที่ผ่าน handset/tablet มากกว่า dongle โดยคาดว่าปี 2563 มีปริมาณการใช้อินเตอร์เนตเคลื่อนที่ผ่าน handset/tablet ถึง 102,450 MB ต่อเดือนต่อเลขหมาย และปริมาณการใช้อินเตอร์เนตเคลื่อนที่ผ่าน dongle ประมาณ 89,814 MB ต่อเดือนต่อเลขหมาย จากการวิเคราะห์แนวโน้มการเติบโตด้านอุตสาหกรรมโทรคมนาคมไทยที่กล่าวมาข้างต้น เห็นได้อย่างชัดเจนว่าประเทศไทยกำลังก้าวสู่ “ยุคสังคมโมบายดิจิทัล” อย่างชัดเจนแล้ว
น้ำฝน บำรุงศิลป์
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี