ฝูงควายที่ชาวบ้านกลุ่มชาติพันธุ์เลี้ยงไว้ช่วยทำนา
“ยาเสพติด” ภัยร้ายทำลายสังคม และเมื่อพูดถึงปัญหานี้ หลายประเทศต้อง “ปวดหัว” กับการมีพรมแดนติดกับเพื่อนบ้านที่เป็น “ต้นทาง” เช่นประเทศไทยที่บ่อยครั้งทหารตำรวจต้องปะทะกับคาราวานขนยาบ้า-ยาไอซ์ (เมทแอมเฟตามีน) และเฮโรอีน ของกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ตามแนวชายแดนที่ติดกับเมียนมา (พม่า)
แน่นอนว่าทำให้กลุ่มชาติพันธุ์ถูกมองอย่าง “เหมารวม”ว่าเป็น “คนไม่ดี” ไปด้วย!!!
“พวกเราอยากให้คนข้างนอกเปลี่ยนความเข้าใจใหม่ที่ถูกต้องเกี่ยวกับพวกเราชาวว้า เพราะไม่ว่าจะเป็นว้าแดง ว้าดำว้าเหลือง มีบางคนเท่านั้นที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดพวกเราก็มีหัวใจรู้สึกไม่ดีและไม่ชอบที่ใครเหมารวมว่าเป็นชาวว้าแล้วต้องเป็นคนค้ายาเสพติด ขนยาเสพติด ยืนยันว่ามีแค่บางคนเท่านั้น”
นางนากอ อายุ 33 ปี หญิงชาวว้ารายหนึ่ง กล่าวกับผู้สื่อข่าวและคณะของ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ในการลงพื้นที่“หย่องข่า-นายาว” ดินแดนปกครองตนเองของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในประเทศเมียนมา ที่นี่แบ่งออกเป็น 4 โซน คือ 1.พื้นที่ต.ลอยต่อคำเป็นเขตของชนเผ่าอาข่า 2.พื้นที่ ต.ทะลาง เป็นเขตของชนเผ่าว้า 3.พื้นที่ต.ซาโทน เป็นเขตของชนเผ่าลาหู่ และ 4.พื้นที่เมืองตูม เป็นเขตของชนเผ่าไทยใหญ่
ด้วยความที่หลายสิบปีมานี้ แผ่นดินเมียนมาอยู่ในภาวะสงครามกลางเมือง มีการสู้รบระหว่างกองกำลังกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ กับกองทัพรัฐบาลพม่าเกิดขึ้นเป็นระยะๆ ประชากรไม่ว่าจะเป็นชาวพม่าหรือกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนใหญ่จึงมีฐานะ “ยากจน” ต้องออกไปขายแรงงานในต่างแดน และจำนวนไม่น้อยเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด ส่งผลกระทบต่อประเทศเพื่อนบ้านอย่างไทยเป็นอันมาก
ทำให้หน่วยงานภาครัฐของไทย เกิดแนวคิดที่จะนำ “โครงการหลวง” หรือโครงการในพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในการส่งเสริมให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงหันมาประกอบอาชีพอื่นๆ แทนการผลิตและค้ายาเสพติด ซึ่งเคยได้ผลมาแล้วกับการสนับสนุนให้ชาวเขาในพื้นที่ภาคเหนือของไทยหันมาปลูกพืชเมืองหนาวอื่นๆ แทนการปลูกฝิ่น ข้ามฝั่งไปแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ในเมียนมา
“โครงการหลวงเข้ามาสอนให้ชาวบ้านมีความรู้ทำการเกษตร ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ได้ ปัจจุบันชาวบ้านมีรายได้ที่ดีขึ้นมากไม่ต้องไปทำงานนอกพื้นที่ ลูกๆ เราก็มีกิน มีการศึกษา ครอบครัวมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีความสุข พวกเราชาวว้าซาบซึ้งและขอขอบคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทย” นางนากอ กล่าว
ที่มาของแนวทางนี้ นายณรงค์ รัตนานุกุล เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า สืบเนื่องมาจาก ป.ป.ส. ไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้นำ “ศาสตร์ของพระราชา” แนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน เข้าสู่เวทีประชาคมโลกผ่านคณะกรรมาธิการยาเสพติดแห่งสหประชาชาติ ล่าสุดเมื่อ 19-24 พ.ย. 2558 มีคณะตัวแทน 43 ประเทศ ไปดูงานที่รัฐบาลไทยสนับสนุนโครงการพัฒนาทางเลือกเพื่อชีวิตความเป็นอยู่ที่ยั่งยืนไทย-เมียนมา ณ พื้นที่บ้านหย่องข่า ในจังหวัดเมืองสาด รัฐฉานตะวันออก สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา
ด้าน นายธนะทัต อนิวรรตน์ เจ้าหน้าที่โครงการหลวง กล่าวว่า โครงการนี้เริ่มต้นอย่างจริงจังเมื่อ 3 ปีก่อน เดิมที่นี่ชาวบ้านจะปลูกบ้านแบบชั่วคราวพร้อมย้ายไปอยู่ที่ใหม่ แต่ปัจจุบันปลูกเป็นบ้านซีเมนต์ถาวร แต่ก่อนนี้ชาวบ้านไม่มีที่นาและข้าว ซึ่งหลังมีโครงการเข้ามา ชาวบ้านปลูกข้าวได้ 1,200 กิโลกรัมต่อไร่เหลือมากเกินบริโภคจึงนำไปขายเพิ่มรายได้ให้ครอบครัว กระทั่งทางการเมียนมาได้ออกฎห้ามไม่ให้ปลูกข้าวเกินปีละ1 ครั้ง มาเป็นปีที่ 2 แล้ว
ทางโครงการจึงให้ความรู้ถึงวิธีการปลูกพืชผสมหลังเก็บเกี่ยวข้าวกับชาวบ้าน เช่น ถั่วเหลือง ถั่วลิสง ที่สามารถนำไปแปรรูปเป็นอาหารสัตว์ได้ นอกจากนี้ ยังส่งเสริมให้ปลูกแมคคาเดเมีย ที่แต่ละต้นใช้เวลา 7-8 ปีก็จะเก็บลูกได้ หากกะเทาะเปลือกแล้วจะมีพ่อค้ารับซื้อกิโลกรัมละ 1,600 บาท ตอนนี้เป็นที่ต้องการมากในหลายประเทศทั่วโลก
“ตอนแรกๆ ที่เจ้าหน้าที่โครงการเข้ามาในพื้นที่ ชาวบ้านก็จะกลัวว่าเราไม่ไว้ใจว่าจะมาทำอะไรเขา แต่พอใครเจ็บป่วยทางโครงการก็จัดเจ้าหน้าที่และแพทย์ลงไปให้ยาและรักษาจนหาย ต่อมาเขาก็ไว้ใจและยอมรับ หลังจากนั้นเราก็ค่อยเริ่มให้ความรู้โดยใช้วิธีครูเป็นผู้นำ ลูก (เด็กนักเรียน) เป็นผู้ช่วย และแม่ (ครอบครัว) รับไม้ต่อ ในการทำงานร่วมกันสร้างชุมชนชนให้เข้มแข็ง จนกระทั่งคุณภาพชีวิตคนในพื้นที่ดีขึ้น อย่างที่เห็นผลในวันนี้” นายธนะทัต ระบุ
ขณะที่ นายณรงค์ อภิชัย ผู้อำนวยการภาคสนาม มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวเพิ่มเติมว่าแนวทางแก้ปัญหาความยากจนตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นการแก้ไขแบบ “ยั่งยืน” โดยแบ่งเป็นพื้นที่ป่าอนุรักษ์ร้อยละ 58 ทำให้มีทุนธรรมชาติคือน้ำ ส่วนทางโครงการเข้ามาช่วยชาวบ้าน โดยมีเจ้าหน้าที่อาสาสมัคร 40-50 คน เข้ามาส่งเสริมให้ชาวบ้านเลี้ยงควาย ให้ความรู้เกี่ยวกับการปลูกข้าวและพืชอื่นๆ ทั้งระยะยาวและระยะสั้น เช่น ถั่วเหลือง กาแฟ แมคคาเดเมีย ฯลฯ
“เมื่อช่วงปี 2002 (พ.ศ.2545) หรือกว่า 10 ปีที่แล้ว ชาวบ้านมีรายได้จากการปลูกฝิ่นประมาณ 350 เหรียญสหรัฐ (ราว 10,500 บาท) ต่อปี หรือเฉลี่ย 1.25 เหรียญสหรัฐ (ราว 37.50 บาท) ต่อคนต่อวัน ดังนั้นทางโครงการเห็นโอกาสที่จะแก้ปัญหาให้ชาวบ้านเลิกยุ่งเกี่ยวยาเสพติด โดยตั้งโจทย์ไว้ว่าเราจะต้องทำให้ชาวบ้านมีรายได้เกิน 350 เหรียญสหรัฐให้ได้ ซึ่งเมื่อคนเราท้องอิ่มแล้ว ที่เหลือก็เป็นเรื่องสันดานของแต่ละคนว่าจะเป็นคนดีหรือคนไม่ดี เรายึด 3 หลัก คือทางเลือก (Alternative) การพัฒนา (Development) และยั่งยืน (Sustainable)” นายณรงค์ กล่าว
ซึ่งสอดคล้องกับคำยืนยันของ พ.ต.อ.ซอลิน ทุน รองเลขาธิการ ป.ป.ส. เมียนมา (Central Committee for Drug Abuse Control-CCDAC) ที่กล่าวว่า เมื่อมีโครงการหลวงของไทยเข้ามาช่วย ชาวบ้านก็หันมาทำการเกษตร ปลูกพืช เลี้ยงปศุสัตว์กันมากขึ้น อีกทั้งมีโรงเรียนสอนหนังสือกับเด็กและเยาวชน จำนวนผู้ที่เข้าไปพัวพันกับธุรกิจยาเสพติดในพื้นที่ก็ค่อยๆ ลดลง สะท้อนถึงบทพิสูจน์ที่ว่า “ปัญหาคนเลือกเดินทางผิด” ไม่อาจแก้ได้ด้วยการใช้กำลังปราบปรามเพียงอย่างเดียว แต่ต้อง“สร้างทางเลือกที่ดีกว่า” ให้พวกเขาด้วย
เพราะเมื่อ “กินอิ่ม-นอนอุ่น” มีชีวิตที่สุขสบายแล้ว..หากไม่ใช่คนที่ “เลวร้ายโดยสันดาน” จริงๆ คงไม่คิดทำผิดให้ “เสี่ยงคุกตะราง” อย่างแน่นอน!!!
สิริพร พานทองถาวร
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี