“ภัยแล้ง”...
ยังเป็นปัญหาที่น่า “วิตก” ปีนี้ว่าหนักหนา แต่ปีหน้าหลายฝ่ายคาดการณ์ว่าจะ “สาหัส” กว่า เพราะน้ำเก็บกักในเขื่อนหลักยังอยู่ในขั้น “วิกฤติ” ซึ่งกลุ่มที่ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ คงหนีไม่พ้น “ภาคเกษตรกรรม” ที่ต้องใช้น้ำมากอย่าง “นาข้าว” ที่ปัจจุบันรัฐบาลได้ประกาศให้เกษตรกร “งดทำนาปรัง” พร้อมคลอดมาตรการอื่นๆมาทดแทนโดยเฉพาะการส่งเสริมการปลูก “พืชฤดูแล้ง” ที่ใช้น้ำน้อย เพื่อเป็นทางเลือก “ทางรอด” หวังช่วยให้เกษตรกรมีรายได้ในช่วงวิกฤติ
มาตรการข้างต้นเป็นหน้าที่หลักของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์โดยตรง ซึ่ง “พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบัน “สถานการณ์น้ำ” ยังน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะเมื่อเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม 2558 เกิดปัญหา “ฝนทิ้งช่วง” ทำให้ปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลัก “เส้นเลือดใหญ่” ของประเทศอย่างเขื่อนภูมิพล, เขื่อนสิริกิติ์, เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ เหลือน้ำใช้ได้ประมาณ 1,400 ล้านลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) เท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยกว่าปีที่ผ่านมา
ด้วยภาวะข้างต้น กระทรวงเกษตรฯ จึงออกมาตรการส่งเสริมให้เกษตรกรหันมาปลูกพืชทดแทนการทำนาปรังช่วงหน้าแล้ง โดยสนับสนุนให้พื้นที่ที่เหมาะสมปลูก “พืชไร่” และพืชใช้น้ำน้อยได้ โดยพิจารณาจากปริมาณฝนที่ตกลงมา หรือน้ำตามคูคลอง ระบบชลประทาน และแหล่งน้ำตามธรรมชาติ โดยกระทรวงเกษตรฯ จะเข้าไปส่งเสริม สนับสนุน และให้ความรู้เกษตรกรปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย และมีตลาดรองรับ เช่น ถั่ว ข้าวโพด อ้อย ซึ่งตลาดยังมีความต้องการอีกมาก และไทยต้องนำเข้าเพื่อผลิตอาหารสัตว์
“กระทรวงเกษตรฯ ไม่ได้นิ่งนอนใจกับภาวะที่ “สุ่มเสี่ยง” ดังกล่าว จึงได้ออกมาตรการดังกล่าวออกมา เพื่อให้การบริหารจัดการปริมาณน้ำใน 4 เขื่อนหลักลุ่มเจ้าพระยาเพียงพอต่อการอุปโภคบริโภค, รักษาระบบนิเวศน์ให้ผ่านพ้นหน้าแล้ง และให้มีปริมาณน้ำต้นทุนเพื่อฤดูเพาะปลูกถัดไปปี 2559 ซึ่งคาดว่าน้ำจะไม่เพียงพอต่อการทำการเกษตร” รมว.เกษตรฯ กล่าว
ด้าน “สมชาย ชาญณรงค์กุล” อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวว่า ในฐานะที่กรมมีหน้าที่ในการส่งเสริมและให้ความรู้เกษตรกรตามมาตรการดังกล่าว กรมจึงได้เตรียมแผนร่วมเดินหน้าฝ่าวิกฤติภัยแล้งไว้แล้ว เบื้องต้นได้สำรอง “เมล็ดพันธุ์” พืชไร่ใช้น้ำน้อย และมีอายุเก็บเกี่ยวสั้นไว้รองรับความต้องการของเกษตรกรที่จะใช้เมล็ดพันธุ์ดีไปปลูกในช่วงหน้าแล้ง ระหว่างเดือนพฤศจิกายน 2558-มกราคม 2559 เพื่อสร้างรายได้ทดแทนการทำนาปรังรวมกว่า 2,300 ตัน ได้แก่ เมล็ดพันธุ์ถั่วเหลือง 800 ตัน, ถั่วเขียว 1,300 ตัน และถั่วลิสง 200 ตัน
“กรมคาดว่าจะช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำในการปลูกข้าว โดยเฉพาะพื้นที่ 22 จังหวัดลุ่มน้ำเจ้าพระยา และเป็นแนวทางช่วยให้เกษตรกรสามารถผ่านพ้นช่วงวิกฤติไปได้ โดยจะเริ่มส่งมอบเมล็ดพันธุ์พืชให้เกษตรกรไปปลูกตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายน-15 ธันวาคม 2558 นี้” อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าว
ประเด็นที่เกษตรกรกังวล คือ “รายได้” จากการปลูกพืชทดแทน จะไม่พอ “ยาไส้” แต่อธิบดีกรมวิชาการเกษตรให้ข้อมูล “เปรียบเทียบ” ว่า การปลูกข้าวนาปรัง ใช้น้ำ 1,920 ลบ.ม./ไร่ รายได้ต่อไร่ 5,000-7,000 บาท แต่การปลูก “ถั่วเขียว” ใช้น้ำ 320-400 ลบ.ม./ไร่ รายได้ต่อไร่ 2,100-3,000 บาท, “ถั่วเหลือง” ใช้น้ำ 480-560 ลบ.ม./ไร่ รายได้ต่อไร่ 3,600-8,400 บาท, “ถั่วลิสง” ใช้น้ำ 611 ลบ.ม./ไร่ รายได้สูงถึงไร่ละ 3,600-10,800 บาท, “ข้าวโพดหวาน” ใช้น้ำ 420 ลบ.ม./ไร่ รายได้ต่อไร่ 10,000-15,000 บาท และ “ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์” ใช้น้ำ 720-800 ลบ.ม./ไร่ รายได้ต่อไร่ 4,800-8,000 บาท
สำหรับ “ข้อระวัง” ในการเลือกปลูกพืชไร่ใช้น้ำน้อยนั้น เกษตรกรควรพิจารณาถึงพืชที่มีอายุเก็บเกี่ยวสั้น, ศึกษาความต้องการของตลาด, ราคาผลผลิต และมีแหล่งรับซื้อที่แน่นอน รวมถึงต้องคำนึงถึงความเหมาะกับสภาพแวดล้อม ซึ่งกรมมีศูนย์วิจัยพืชไร่, ศูนย์วิจัยและพัฒนาการเกษตร และสำนักวิจัยและพัฒนาการเกษตรเขตที่ 1-8 พร้อมสนับสนุนข้อมูลทางวิชาการ สร้างความเข้าใจ ให้ความมั่นใจ และให้เกษตรกรเข้าถึงเทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสม เช่น เมล็ดพันธุ์ดี และเครื่องจักรกลการเกษตร รวมถึงพร้อมช่วยเหลือเกษตรกรแก้ไขปัญหาด้านพืช นอกจากนั้นเกษตรกรยังสามารถเข้ามาเรียนรู้ในศูนย์เรียนรู้, แปลงสาธิต หรือแปลงต้นแบบการปลูกพืชไร่ใช้น้ำน้อย เพื่อนำความรู้ไปปรับใช้ในแปลงของตนเองได้จริง
อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าวด้วยว่า หลังเก็บเกี่ยวข้าว เกษตรกรควรฉวยโอกาสช่วงที่สภาพดินยังมีความชื้นเพาะปลูกพืชไร่ใช้น้ำน้อย และอายุเก็บเกี่ยวสั้นเพื่อสร้างรายได้ทดแทนการทำนาปรัง โดยมีพืชไร่หลายชนิดที่มีศักยภาพและตลาดมีความต้องการสูง เช่น ถั่วเหลือง ถั่วเขียว ถั่วลิสง และข้าวโพด ซึ่งกรมพร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้ทางวิชาการ และเทคโนโลยีการผลิตที่เหมาะสมให้กับเกษตรกร เป็นช่องทางช่วย “ลดความเสี่ยง” ปัญหาขาดแคลนน้ำระหว่างเพาะปลูกในช่วงหน้าแล้งนี้ ซึ่งจะทำให้เกษตรกร “อยู่รอด” และผ่านช่วงวิกฤติภัยแล้งไปได้
“การปลูกพืชใช้น้ำน้อยช่วยลดปริมาณการใช้น้ำได้ค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับข้าว ลดความเสี่ยงจากปัญหาขาดแคลนน้ำและภัยแล้ง พร้อมลดปัญหาการแย่งชิงน้ำเพื่อการเกษตรด้วย หากปลูกพืชไร่ใช้น้ำน้อยสลับกับการปลูกข้าวจะช่วยอนุรักษ์ดินและน้ำดีกว่าการปลูกข้าวอย่างต่อเนื่อง ช่วยแก้ปัญหาดินเสื่อมโทรม ช่วยปรับปรุงบำรุงและเพิ่มความอุดมสมบูรณ์ของดินได้ เพราะเศษซากพืชตระกูลถั่วจะช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุให้แก่ดิน และลดการใช้ปุ๋ยเคมีในนาข้าวได้ ขณะเดียวกันยังช่วยตัดวงจรการระบาดของโรคและแมลงศัตรูข้าว และรักษาระบบนิเวศน์ในนาข้าวให้สมดุลด้วย” อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าว
“พืชไร่-พืชใช้น้ำน้อย” ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยให้เกษตรกร “รอด” จากภาวะวิกฤติภัยแล้งที่น่าจะลากยาวไปจนถึงปี 2559 เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่จะช่วยให้มีรายได้หมุนเวียนต่อจากการทำนา และในช่วงที่ “จำเป็น” ต้องงดทำนาปรัง
ที่สำคัญ...ยังช่วยให้เกิดการใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพ และคุ้มค่า โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ที่หลายพื้นที่กำลังประสบ “ภัยแล้ง” ซึ่งเป็น “ภัยพิบัติ” ที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมด้วยช่วยกัน เพื่อให้ประเทศผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปได้
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี