ป่าไม้..สิ่งชี้วัดความอุดมสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์ ทั้งต้นกำเนิดแหล่งน้ำ เป็นที่อยู่อาศัยของพืชและสัตว์นานาชนิด ทว่าในประเทศไทยป่าไม้ถูกทำลายไปมาก ดังข้อมูลที่ นายประลอง ดำรงค์ไทย รองอธิบดีกรมป่าไม้ เปิดเผยเมื่อช่วงเดือนเม.ย. 2558 ที่ผ่านมาว่า ขณะนี้ประเทศไทยเหลือพื้นที่ป่าเพียง 102 ล้านไร่เศษๆ หรือร้อยละ 31.57 ของพื้นที่ประเทศ ลดลงจากเมื่อปี 2551 ที่มีพื้นที่ป่าอยู่ประมาณ 108 ล้านไร่ หรือร้อยละ 33.8 ของพื้นที่ประเทศ
แค่ “7 ปี” ป่าเมืองไทยหายไปแล้วราว “6 ล้านไร่”!!!
12 พ.ย. 2558 “สกู๊ปหน้า 5” ติดตามคณะของ “สมัชชาเครือข่ายปฏิรูปการศึกษา” ลงพื้นที่ บ้านหัวทุ่ง อ.เชียงดาว จ.เชียงใหม่ อันเป็นอีกจุดหนึ่งที่มีการทำลายป่ากันมาก ซึ่ง ประจักษ์ บุญเรือง ประธานป่าชุมชนบ้านหัวทุ่ง และประธานส่งเสริมอาชีพเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริ เล่าว่า พื้นที่แห่งนี้หากย้อนไปเมื่อเกือบ 100 ปีก่อน เป็นพื้นที่สัมปทานป่าไม้ บริษัทเอกชนที่ได้รับสัมปทานสามารถตัดไม้ไปขายได้อย่างถูกกฎหมาย
และต่อมาแม้รัฐบาลไทยจะยกเลิกสัมปทานแล้ว แต่ชาวบ้านที่อาศัยใกล้กับแนวป่าก็ยังทำลายป่ากันต่อไป นั่นคือการ “ทำไร่เลื่อนลอย” ซึ่งบ่อยครั้งมีการ “จุดไฟเผาป่า” ทำให้เกิดไฟป่าลุกลาม จำนวนป่าไม้จึงมีแต่จะลดลงเรื่อยๆ กระทั่งในปี 2540 ทั้งตัวของประจักษ์และชาวบ้านคนอื่นๆ เริ่มตระหนักว่าการ “ไม่มีป่า” ทำลายความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่อย่างไร ทำให้เกิดแนวคิด “ฟื้นฟูป่า” ขึ้นในหมู่ผู้คนที่นี่
“เมื่อก่อนก็ทำไร่เลื่อนลอย ทำไปทำมาก็บอกว่าถ้าเรายังปล่อยกันแบบนี้ ต่อไปข้างหน้าลูกหลานเราจะไม่เห็นน้ำไหลตรงนี้อีก ทุกคนต้องหยุดทำไร่เลื่อนลอย หยุดถางป่า แล้วป้องกันไม่ให้ไฟไหม้ป่า ถ้าตอนนั้นเราไม่เริ่มต้น ปัจจุบันเราจะไม่เห็นน้ำไหลแบบนี้แล้ว เพราะอาชีพหลักคนในหมู่บ้านคือทำการเกษตร ตรงนี้มันก็เป็นป่าต้นน้ำ คือชาวบ้านก็ประสบปัญหาด้วยตัวเอง ก็ยอมรับว่าปัญหามีจริง”ประจักษ์ กล่าว
ที่น่าสนใจเป็นพิเศษ..ชายวัยหกสิบเศษรายนี้ เล่าว่า เขาได้ “ไอเดียบรรเจิด” ในการลดปัญหาไฟป่ามาจาก บ้านปางมะโอ ซึ่งอยู่ใน อ.เชียงดาว เช่นเดียวกัน ที่นั่นมี “ต้นเมี่ยง” เป็นพืชเศรษฐกิจของหมู่บ้าน ส่งผลให้ชาวบ้านปางมะโอ “ดูแลต้นเมี่ยงเท่าชีวิต” ไม่ยอมให้มีอันตรายเด็ดขาด รวมถึงจากไฟป่าด้วย
คุณลุงประจักษ์ เลยไปขอ “กาแฟพันธุ์อะราบิกา” (Arabica) จากเจ้าหน้าที่ป่าไม้ในเขตพื้นที่อนุรักษ์ที่ 16 จ.เชียงใหม่ มาทดลองปลูก พบว่าได้ผลดี จึงชักชวนชาวบ้านมาช่วยกันปลูกด้วยในพื้นที่ป่าชุมชน เมื่อมีการปลูกกาแฟในพื้นที่ป่า ป่าก็ย่อมจะได้รับการดูแลรักษาจากคนไปด้วย มีการทำแนวกันไฟช่วงเดือนมกราคม-เมษายนของทุกปี
นี่เป็น “กุศโลบาย” ใช้กาแฟป้องกันไฟป่าที่ “ได้ผล” เป็นอย่างยิ่ง!!!
เพราะหลังจากนั้นเป็นต้นมา พื้นที่ป่าแถบนี้ “แทบไม่เกิดไฟไหม้” อีกเลย!!!
“พอเดือนมกรา เรามาทำแนวกันไฟทั้งบริเวณป่ากาแฟและป่าชุมชน เราจะพยายามลดไฟป่าและหมอกควันให้ได้มากที่สุด เพราะอำเภอเชียงดาวมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง เราต้องช่วยกันดูแลรักษา” คุณลุงประจักษ์ ระบุ
ผลที่ได้..วันนี้ชุมชนบ้านหัวทุ่ง กลายเป็น “ชุมชนต้นแบบในการอนุรักษ์ป่า” ได้รับรางวัลมากมาย ทั้งหมู่บ้านปลอดการเผา หมู่บ้านดีเด่นด้านบริหารจัดการป่า ซึ่งคาดว่าหลังจากนี้อีกไม่กี่ปีข้างหน้า กาแฟจะกลายเป็นพืชเศรษฐกิจของชาวบ้านหัวทุ่ง เช่นเดียวกับที่เมี่ยงเป็นพืชเศรษฐกิจของชาวบ้านปางมะโอ
“อยากให้มาเห็นครับ วันนั้นมีแต่รอยยิ้ม สมัยผมทำถึงจะไม่ได้รับรางวัลอะไรแต่ก็ไม่เคยหวัง แค่หวังว่าชุมชนเราจะอยู่เย็นเป็นสุข มีป่าอุดมสมบูรณ์ แล้วมีเยาวชนมารับไม้ต่อ แค่นี้ก็มีความสุขแล้ว” คุณลุงประจักษ์ ฝากทิ้งท้าย
เห็นได้ชัดว่าการอนุรักษ์ป่าไม้ไม่อาจใช้เพียงกฎหมายหรืออำนาจรัฐเข้าไปกวดขันจับกุมอย่างเดียว แต่ต้องทำให้ประชาชนในพื้นที่ตระหนักถึงความสำคัญของทรัพยากรธรรมชาติอันล้ำค่านี้ด้วย ซึ่งการทำเช่นนั้นได้มิได้มาจากการสั่งการแบบบนลงล่างจากรัฐ หากแต่ต้องเกิดจากการมีส่วนร่วมของประชาชน ให้คนในพื้นที่เข้าใจว่าป่าไม้ให้อะไรกับวิถีชีวิตกับพวกเขาบ้าง ดังตัวอย่าง “ชุมชนบ้านหัวทุ่ง” แห่งนี้
ที่ชาวบ้านใช้ประโยชน์จากป่าอย่าง “รู้คุณค่า” นำไปสู่การอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้อย่าง “ยั่งยืน”!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี