วันพุธ ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2568
กลายเป็นเรื่องฮือฮาขึ้นมาทันที กับกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการคืนความสุขให้คนในชาติ เมื่อวันที่ 12 ธ.ค.2558 ที่ผ่านมา เสนอแนะว่าควรบรรจุข้อมูล “อาชีพ-รายได้” ลงในบัตรประจำตัวประชาชน โดยให้เหตุผลว่าเพื่อให้รัฐบาลสามารถกำหนดมาตรการและใช้จ่ายงบประมาณช่วยเหลือประชาชนได้ถูกกลุ่ม ซึ่งจะเริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป
แนวคิดดังกล่าวก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทำนอง “ไม่เห็นด้วย” หลายคนกังวลว่าการแสดงอาชีพและรายได้บนบัตรประชาชน อาจเข้าข่าย “ละเมิดสิทธิส่วนบุคคล” เพราะจะนำไปสู่การ “เลือกปฏิบัติ” หรือการแบ่งแยกผู้คนในสังคมออกเป็นชนชั้นต่างๆ รวมถึงเป็นการเพิ่มภาระและค่าใช้จ่ายให้ของรัฐอย่างไม่จำเป็น
เช่นความเห็นของ น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ICT) ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว PPTV ระบุว่าหลายคนมีพฤติกรรมการทำงานที่ไม่แน่นอน เช่น มาทำงานรับจ้างในกรุงเทพฯ 3 เดือน กลับบ้านไปปลูกข้าว แล้วกลับมาทำงานใหม่ ซึ่งคนกลุ่มนี้จะต้องมาเปลี่ยนบัตรหรือแจ้งข้อมูลใหม่ตลอดเวลา ภาครัฐก็จะมีภาระเพิ่มขึ้นมาก อาจต้องเปลี่ยนบัตรบ่อยๆ เกิดเป็นคำถามในเรื่องของความคุ้มค่า
สอดคล้องกับหนุ่มใหญ่รายหนึ่งที่ในอดีตเป็นคนงานในโรงงาน แต่ปัจจุบันหันมาขับรถแท็กซี่ สะท้อนมุมมองในประเด็นนี้ผ่าน “สกู๊ปหน้า 5” ว่าหลายคนมีการเปลี่ยนที่ทำงานบ่อยๆ เนื่องจากเห็นว่าที่ทำงานใหม่ให้ค่าตอบแทนสูงกว่า รวมถึงอาชีพและการทำงานของผู้คนนั้นมีความหลากหลายและซับซ้อนมาก หรือการทำงานที่หลายคนมีรายได้ไม่แน่นอน ภาครัฐจะจัดเก็บข้อมูลให้ครบถ้วนได้อย่างไร?
“ผมว่ามันไม่ง่ายที่จะทำนะ บางอาชีพอย่างขับแท็กซี่นี่รายได้ไม่แน่นอน หรือคนที่เขาเปลี่ยนงานบ่อยๆ เช่น วันนี้ขับแท็กซี่ เกิดรายได้ไม่ดีขอหยุดขับ กลับไปทำนาทำสวน หรือคนทำงานโรงงาน ทำงานบริษัทที่ทำอยู่สักพักก็ลาออกไปสมัครงานที่ใหม่เพราะเพื่อนชวน เพื่อนบอกที่ใหม่ให้ค่าแรงมากกว่า แล้วจะทำยังไง? หรือแม้แต่อาชีพ อย่างงานขับรถเองก็มีหลายแบบ ถ้าระบุให้ชัดมันจะยุ่งยากหรือเปล่า?”หนุ่มใหญ่คนขับแท็กซี่รายนี้ กล่าว
ขณะที่มุมมองของนักเศรษฐศาสตร์ ดร.นณริฏพิศลยบุตร นักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) มองว่าเรื่องนี้ต้องแยกออกเป็น 2 ส่วน ประการแรก..แนวคิดดังกล่าว“ในทางหลักการ” ถือว่า “เป็นเรื่องดี” เพราะรัฐบาลจะทราบจำนวนที่แน่นอนของผู้เข้าข่ายต้องได้รับความช่วยเหลือ ทำให้การกำหนดมาตรการทำได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น มาตรการอุดหนุนสินค้าเกษตร บริการรถเมล์-รถไฟฟรี เป็นต้น
แต่ ประการที่สอง..หากมองตาม “ความเป็นจริง” ต้องยอมรับว่าข้อมูลบางอย่างเป็นข้อมูลที่ “ละเอียดอ่อน” ในการที่จะต้องเปิดเผยต่อบุคคลอื่น เช่น คนที่ถูกระบุบนบัตรประจำตัวประชาชนว่ามีรายได้สูง อาจเป็นเป้าหมายของการ “ลักพาตัวไปเรียกค่าไถ่” จากมิจฉาชีพ ส่วนคนที่มีรายได้ต่ำก็อาจ “ถูกเลือกปฏิบัติ” ในการไปรับบริการต่างๆ
“ข้อมูลพวกนี้บางทีมันก็เป็นเรื่องของความเสี่ยงในการใช้ชีวิต เช่น ถ้าเกิดมีคนรู้ข้อมูลว่าคุณมีรายได้สูง คุณอาจจะโดนจี้ปล้น คุณอาจจะโดนลักพาตัว หรือมันอาจจะเป็นข้อมูลที่จะทำ 2 มาตรฐานได้ เช่น ถ้าคุณไปติดต่อราชการ คนนี้รวยอีกคนหนึ่งจน งั้นฉันทำให้คนรวยก่อนดีไหม? นี่คือสิ่งที่มันอาจเกิดขึ้นได้ เพราะในโลกแห่งความเป็นจริง ข้อมูลจะถูกนำไปใช้ได้ทั้งในทางที่ถูกก็ได้ ในทางที่ผิดก็ได้” นักเศรษฐศาสตร์จาก TDRI รายนี้ ให้ความเห็น
ด้าน นายชาลี ลอยสูง รองประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) แสดงความเป็นห่วงว่า การระบุอาชีพและรายได้บนบัตรประชาชน อาจนำไปสู่การ “แบ่งชนชั้น” ทำให้สังคมไทยเกิดการ “แตกแยก” หนักขึ้นกว่าเดิม พร้อมกับยกตัวอย่างว่าแม้ทุกวันนี้จะยังไม่มีการระบุดังกล่าว แต่ก็เป็นที่ทราบกันดีว่าในความเป็นจริงก็มีการแบ่งแยกกันอยู่แล้ว เช่น สังคมโรงงานที่แบ่งแยกระหว่างผู้ใช้แรงงาน กับพนักงานในสำนักงาน (ออฟฟิศ) เป็นต้น
“ถ้าทำแบบนี้มันก็จะกลายเป็นการแบ่งแยกเลย นี่เป็นชาวนา นั่นเป็นแรงงาน เป็นนั่นเป็นนี่ แบ่งกันเมื่อไรมันก็จะแตกกันเมื่อนั้น ผมยกตัวอย่างนะ ขนาดวันนี้พนักงานยังมีแบ่งเลย นี่พนักงานโรงงาน นั่นพนักงานออฟฟิศ แค่นี้มันยังไม่รวมกัน ยังแบ่งชั้นวรรณะกันเลย ฉันไม่ใช่แรงงานนะ ฉันเป็นพนักงานออฟฟิศ ฉะนั้นอะไรที่ไม่ควรทำก็อย่าไปทำ มันจะทำให้ประเทศชาติไม่สามัคคี นี่คนงาน นั่นออฟฟิศนี่ชาวนา นั่นข้าราชการ ขนาดข้าราชการกับประชาชนทั่วไปยังแบ่งแยกกันเลย ฉะนั้น อย่าไปสร้างเงื่อนไขให้มากขึ้น” รองประธาน คสรท. กล่าวด้วยความกังวล
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 14 ธ.ค. 2558 พล.อ.ประยุทธ์ชี้แจงถึงกรณีที่ประชาชนออกมาคัดค้านแนวคิดที่ต้องการให้มีการระบุรายได้และอาชีพลงในบัตรประจำตัวประชาชนว่า นโยบายนี้ยังอยู่ในขั้นตอนของการศึกษาเท่านั้นว่าจะสามารถทำได้หรือไม่ และไม่ได้เป็นการแบ่งชนชั้น เพียงแต่ต้องการให้ทุกคนเข้าถึงการบริการของรัฐให้ได้มากที่สุด
เช่นเดียวกับ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ระบุว่าประชาชนอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน โดยยืนยันว่าจะไม่มีการระบุรายได้และอาชีพลงบนบัตรประจำตัวประชาชน รวมถึงในชิพที่ฝังอยู่ในบัตรประจำตัวประชาชนอย่างแน่นอน แต่จะไปใส่ในฐานข้อมูลของประชาชนแทน และย้ำว่าไม่ใช่การละเมิดสิทธิส่วนบุคคล แต่เพื่อให้รัฐบาลสามารถหามาตรการให้ความช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้น้อย
ทั้งนี้ การจัดทำฐานข้อมูลดังกล่าวจะเป็นประโยชน์ต่อการเชื่อมโยงข้อมูลของราชการ อีกทั้งยังเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนในการติดต่อราชการโดยไม่ต้องทำสำเนาด้วย ซึ่งใกล้เคียงกับความเห็นของ ดร.นณริฎที่กล่าวว่า หากรัฐบาลจะทำจริงๆ ควรทำเป็นฐานข้อมูลโดยไม่ต้องปรากฏบนหน้าบัตรจะดีกว่า
“อย่างข้อมูลเรื่องเครดิตบูโร ทุกคนมีข้อมูลนี้อยู่ว่ามีโอกาสกู้เงินแล้วจะไม่จ่ายอยู่เท่าไร นี่เป็นข้อมูลที่สำคัญและละเอียดอ่อน จึงถูกเก็บเอาไว้และถูกเรียกได้เฉพาะในกรณีที่จะเอาไปใช้เพื่อประโยชน์เท่านั้น อันนี้ก็เหมือนกัน มันจะต้องถูกเก็บไว้และไม่ใช่ใครจะเข้ามาดูก็ได้ มันจะต้องเป็นคนที่ใช้นโยบายเรื่องนั้นจริงๆ ซึ่งทางที่ดีที่สุดผมคิดว่าใส่ไว้ในตัวชิพเพราะคุณพัฒนามาแล้ว
แต่ผมขอตั้งข้อสังเกตนะครับว่าคุณยังพยายามเอาตัวเลขไปอยู่บนบัตร มันก็เหมือนกับการที่จะต้องถ่ายสำเนาบัตรประจำตัวประชาชนเวลาไปติดต่อราชการ ทั้งๆ ที่เราพัฒนาชิพมาไม่รู้เท่าไร เสียเงินประเทศไปเท่าไรก็ไม่รู้ สะท้อนว่ารัฐยังคิดแบบเดิมๆ ขณะที่ระบบอินเตอร์เนตมันไปไกลแล้ว”นักเศรษฐศาสตร์จาก TDRI ฝากทิ้งท้าย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี