วันพฤหัสบดี ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2569
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / สกู๊ปพิเศษ
วิกฤติ‘ความเหลื่อมล้ำ’(1) รากเหง้า‘ปัญหาสังคมไทย’

วิกฤติ‘ความเหลื่อมล้ำ’(1) รากเหง้า‘ปัญหาสังคมไทย’

วันจันทร์ ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2558, 02.00 น.
Tag :
  •  

การ์ตูนล้อเลียนปัญหาความเหลื่อมล้ำ (ภาพประกอบจากอินเตอร์เนต)

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาต่างๆ ในประเทศไทยของเรา โดยเฉพาะการที่ผู้คน “แตกแยกทางความคิด” อย่างรุนแรง ที่ไม่ใช่เพียงแค่แบ่งฝ่ายทางการเมือง แต่ยังรวมไปถึงมุมมองต่อสิ่งต่างๆ ในสังคมแทบทุกเรื่องด้วย ต้นเหตุมาจาก “ความเหลื่อมล้ำ” ที่สะสมยาวนานนับสิบปี

ซึ่งนอกจากจะไม่ลดลงแล้ว..นับวันมีแต่จะเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก!!!


ย้อนไปเมื่อปลายเดือน ก.ย. 2558 ณ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ซอยรามคำแหง 39 กรุงเทพฯ ดร.สมชัย จิตสุชน ผู้อำนวยการวิจัยด้านการพัฒนาอย่างทั่วถึง TDRI เปิดเผยถึงผลการศึกษาว่าด้วยความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย ซึ่งพบข้อมูลที่ “น่าเป็นห่วง” หลายประการ

1.ปัญหาความเหลื่อมล้ำของไทยเรื้อรังมานาน อ้างอิงข้อมูล World Development Indicators และ Gini Coefficient จากฐานข้อมูล The Standardized World Income Inequality Database ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University, USA) รวมกับข้อมูลของไทยจากการสำรวจภาวะเศรษฐกิจสังคม โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ (สสช.) ระหว่าง ค.ศ.1960-2012(พ.ศ.2503-2555) เปรียบเทียบระหว่างไทย เกาหลีใต้ และไต้หวัน พบว่าในห้วงเวลาเดียวกัน ในระดับการพัฒนาเท่าๆ กัน ไทยกลับมีความเหลื่อมล้ำมากกว่าอีก 2 ประเทศอย่างมีนัยสำคัญ

“ที่ระดับรายได้เท่าๆ กัน อย่างเกาหลีใต้สัก 20 ปีที่แล้ว ความเหลื่อมล้ำเขาต่ำกว่าเราเยอะ ไต้หวันก็เช่นกัน ซึ่งแสดงว่าประเทศไทยน่าจะเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง ไม่ว่าการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ดังนั้น ที่ระดับการพัฒนาเท่ากัน เราจึงเหลื่อมล้ำกว่าเขามาก ถ้าปัญหาเป็นเชิงโครงสร้างแล้วมันไม่ได้หายไปไหน ความเหลื่อมล้ำก็น่าจะเป็นปัญหาที่ซีเรียสมากในสังคมไทย ทีนี้ทำไมช่วงนั้นเกาหลีใต้และไต้หวันเขาทำได้ดีและดีต่อๆ มา เพราะการศึกษาเขาทำได้ดีมาก เขาให้โอกาสทางการศึกษาประชาชนของเขาดีมาก ขณะที่ประเทศไทยยังห่างจากเขาอีกเยอะ” ดร.สมชัย กล่าว

2.งบประมาณใช้จ่ายด้านสังคมของไทยต่ำมาก อ้างอิงจากข้อมูลของ องค์การแรงงานระหว่างประเทศ (International Labour Organization-ILO)พบว่า ไทยใช้จ่ายด้านการคุ้มครองทางสังคมของรัฐบาลเพียงร้อยละ 1.7 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) เท่านั้น น้อยกว่าประเทศกำลังพัฒนากลุ่มลาตินอเมริกา เช่น โบลิเวีย อยู่ที่ร้อยละ 4.9 ของ GDP , บราซิล อยู่ที่ร้อยละ 12.7 ของ GDP และ เม็กซิโก อยู่ที่ร้อยละ 3.2 ของ GDP

“รายจ่ายด้าน Social Protection (การคุ้มครองทางสังคม) ของเราต่ำกว่าประเทศลาตินอเมริกา บราซิลนี่สูงนะครับ ของเราจะน้อยกว่าลาตินอเมริกา น้อยกว่าเกาหลีใต้ ดีกว่าอินโดนีเซียนิดหน่อย แต่เราแย่กว่าจีน ทั้งที่ระดับการพัฒนา รายได้ต่อหัวของจีนก็ไม่ได้ดีกว่าเราเท่าไหร่”
ดร.สมชัย ระบุ

3.ทัศนคติของผู้คนโน้มเอียงไปในทางที่เป็นอันตราย นักวิชาการจาก TDRI รายนี้ ชี้ให้เห็นข้อกังวล 2 เรื่อง เรื่องแรก “ชนชั้นกลางหันหลังให้กลไกของรัฐ” ไม่เชื่อมั่นในระบบราชการว่าจะช่วยคุ้มครองดูแลตนได้ จึงหันไป “ดิ้นรนตัวใครตัวมัน” เช่น หาเงินให้มากๆ เพื่อส่งบุตรหลานไปเรียนในโรงเรียนเอกชน เพราะมองว่ารัฐบาลไม่อาจทำให้โรงเรียนของรัฐมีคุณภาพดีเท่าเทียมกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ผลกระทบย่อมตกอยู่กับ “ชนชั้นล่าง” หรือคนยากจน ที่ไม่มี“ทางเลือกอื่น” เนื่องจากภาคประชาชนโดยชนชั้นกลางไม่คิดจะทำให้กลไกภาครัฐมีประสิทธิภาพดีขึ้น

ความเหลื่อมล้ำที่มีอยู่แล้ว..ก็ยิ่งรุนแรงทวีคูณมากไปอีก!!!

“คนชั้นกลางเริ่มหมดหวังในภาครัฐ มองภาครัฐไม่มีประสิทธิภาพเสียแล้ว คนชั้นกลางจากที่จะเรียกร้องก็ไม่เรียกร้องแล้ว ยกตัวอย่างการศึกษา ถ้าภาครัฐไม่อาจให้การศึกษาที่ดี ที่ตรงกับความต้องการของคนชั้นกลางส่วนใหญ่แล้ว เขาก็จะหันไปใช้บริการภาคเอกชน โรงเรียนนานาชาติผุดขึ้นเป็นว่าเล่น พอเป็นแบบนี้ก็จะไม่มีใครไปตรวจสอบให้ภาครัฐมีประสิทธิภาพมากขึ้น ผลก็ตกอยู่กับคนจน เพราะคนจนไม่มีทางเลือก คนจนยังไงก็ต้องรับบริการจากภาครัฐ เมื่อภาครัฐไม่มีประสิทธิภาพแล้วคนชั้นกลางไม่ไปตรวจสอบ คนจนถูกกระทบไปด้วย”

นักวิชาการจาก TDRI รายนี้ แสดงความเป็นห่วง ซึ่งจะสืบเนื่องไปถึงเรื่องที่สอง คือ “ยอมจำนนกับความฉ้อฉล” หรือการคอร์รัปชั่น เนื่องจากการตรวจสอบการทุจริต เป็นงานที่ต้องใช้ทรัพยากรต่างๆ ค่อนข้างมาก เช่นเงินทุน องค์ความรู้ เวลา ฯลฯ แน่นอนว่าชนชั้นล่างไม่มีทางมีสิ่งเหล่านี้ครบถ้วน เพราะ “แค่ทำมาหากินไปวันๆ” ก็เหนื่อยมากแล้ว ท้ายที่สุดจึงมองว่า “ปัญหาคอร์รัปชั่นไม่สามารถกำจัดให้หมดไปได้” ทำได้เพียงแต่จะอยู่กับมันอย่างไร จะหา“เศษผลประโยชน์” จากการทุจริตที่เกิดขึ้นอย่างไรแก่ตนและพวกพ้องบ้างเท่านั้น

ความคิดที่ว่า “โกงได้ไม่เป็นไรขอให้มีผลงาน” ต้นตอก็มาจากตรงนี้!!!

“ถ้ามีช่องว่างคนรวยคนจนมาก คนรวยก็จะมีทรัพยากรอยู่ในมือมาก มีอำนาจหลายๆ อย่างอยู่ในมือมาก มันทำให้เขาสามารถคอร์รัปชั่นได้มาก ฝั่งคนจนเนื่องจากมีทรัพยากรในมือน้อย มีเงินอยู่ในมือน้อย ก็ไม่สามารถทำให้คนจนไปตรวจสอบการคอร์รัปชั่นได้ เพราะการตรวจสอบการคอร์รัปชั่นไม่ใช่ว่าฟรี ต้องใช้แรงต้องใช้ทรัพยากร

เพราะสังคมที่คนจนไม่มีทรัพยากรอยู่ในมือ หรือคนชั้นกลางมีสัดส่วนที่น้อย คอร์รัปชั่นก็ง่าย ก็จะมีผลต่อทัศนคติในการยอมรับคอร์รัปชั่นด้วย เช่น คำว่าโกงได้แต่ให้มีผลงาน เพราะสังคมคิดว่าไม่สามารถสู้กับคอร์รัปชั่นได้แล้ว เมื่อยอมแพ้เสียแล้วก็ยอมรับการคอร์รัปชั่นก็แล้วกัน ถ้ามีผลงานก็ใช้ได้ เพราะเหลื่อมล้ำมากมันจึงไม่สามารถตรวจสอบการคอร์รัปชั่นได้”

ดร.สมชัยกล่าวทิ้งท้าย และเสริมว่าลำพังประชาธิปไตยเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถการันตีได้ว่าจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้ เพราะแม้ในทางทฤษฎี การเมืองแบบประชาธิปไตยคือการกระจายอำนาจไปสู่ประชาชน มีการขยายโอกาสทางการศึกษา การเก็บภาษีที่หลากหลาย แต่ในทางปฏิบัติยังมีปัจจัยแทรกซ้อนมากมายที่ทำให้ไม่สามารถลดความเหลื่อมล้ำได้ เช่น ในบางประเทศ คนรวยกับคนชั้นกลางร่วมมือกันเพื่อกีดกันคนจนออกไปจากส่วนแบ่งทางอำนาจ หรือในบางประเทศ การเก็บภาษีต่างๆ ไม่ได้ถูกนำไปใช้เพื่อลดความเหลื่อมล้ำอย่างจริงจังเท่าที่ควรจะเป็น

แน่นอนว่าระบอบประชาธิปไตยยังเป็นสิ่งที่ดี แต่จะแก้ไขความเหลื่อมล้ำได้ ต้องใส่ปัจจัยอื่นๆ ลงไปด้วย!!!

(โปรดอ่านต่อฉบับหน้า)

SCOOP@NAEWNA.COM

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

'ดร.ส้ม' ลั่นไม่เคยเคลมผลงานใคร ยันลุยดัน กม.คุกคามทางเพศมาตั้งแต่ปี62

มีหนาว! คุกคามทางเพศผ่านโซเชียลมีเดีย มีผลบังคับใช้แล้ววันนี้

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.ปกครองท้องที่ ฉบับใหม่ กำหนดคุณสมบัติต้องห้าม ผู้ใหญ่บ้าน

สุริยะใส ย้อนเกล็ด เลือกตั้ง ไม่เอาลุง ครั้งนี้ ไม่เอาเทา คงได้ รัฐบาลเทวดา

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved