วันพฤหัสบดี ที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2569
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / สกู๊ปพิเศษ
วิกฤติ‘ความเหลื่อมล้ำ’(จบ) ‘ทางออก’ต้องเปลี่ยน‘มุมคิด’

วิกฤติ‘ความเหลื่อมล้ำ’(จบ) ‘ทางออก’ต้องเปลี่ยน‘มุมคิด’

วันอังคาร ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2558, 06.00 น.
Tag :
  •  

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล

ในตอนที่แล้ว เราได้กล่าวถึงวิกฤติความเหลื่อมล้ำที่ส่งผลต่อสังคมไทยถึงระดับทัศนคติหรือมุมมองความคิด ส่วนในตอนนี้ มีคำแนะนำที่น่าสนใจจากบุคคลที่เป็นทั้งนักบริหารและนักวิชาการ ว่าด้วย “ทางออก” จากปัญหาเรื้อรังนี้ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งคนไทยไม่ว่าภาครัฐ เอกชน หรือประชาชน อาจต้อง “เปลี่ยนมุมคิด” กันพอสมควร

“GDP” ไม่เกี่ยว “ลดเหลื่อมล้ำ”


“จีดีพีทำให้คนมีรายได้มากขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ เอาง่ายๆ ซอยหลังแบงก์ที่ผมทำงานอยู่ ซอยละลายทรัพย์ เขาก็รวยขึ้นกันทุกคนนะครับ อ้าวแล้วทำไมมันเหลื่อมล้ำล่ะในเมื่อมันรวยขึ้นกันทุกคน? คำตอบคือคนที่รวยที่สุดเขารวยเร็วขึ้นไปเยอะเลย พวกนี้กระโดดไปได้ไกล 20 ก้าว แต่คนอื่นเดินไปได้ 3-4 ก้าว เห็นไหมครับ? จีดีพีช่วยเรื่องความเป็นอยู่ แต่ไม่ได้ช่วยลดความเหลื่อมล้ำ”

ดร.กอบศักดิ์ ภูตระกูล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพ ที่อีกบทบาทหนึ่งยังเป็นนักวิชาการด้านเศรษฐศาสตร์ อธิบายถึงความเข้าใจของสังคมไทย ที่เชื่อกันมาตลอดว่าการเน้นยอดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ โดยดูจาก ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี-GDP) เพียงอย่างเดียวจะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้ อาจไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องนัก เพราะแม้รายได้ต่อหัวของแต่ละคนจะเพิ่มขึ้น แต่ในความเป็นจริงพบว่าคนบางกลุ่ม “ได้เปรียบ” สามารถกอบโกยสร้างความมั่งคั่งให้กับตนเองได้มากกว่าคนอื่นๆ ที่เหลืออย่างเทียบกันไม่ได้

ซึ่งสิ่งที่ ดร.กอบศักดิ์ อธิบาย จะไปสอดคล้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในประเทศมหาอำนาจอันดับ 1 ของโลกอย่าง สหรัฐอเมริกา ที่ใครจะเชื่อว่าดินแดนพญาอินทรีที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่โตมหาศาล มีเทคโนโลยีล้ำหน้าที่สุดเหนือรัฐชาติอื่นๆ จะเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมาก

ดังที่ โจเซฟ สติกลิตส์ (Joseph E. Stiglitz) นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล ปี 2001 (พ.ศ.2544) เคยกล่าวไว้ว่า “การพัฒนาเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาเป็นไปเพื่อคนเพียง 1 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ส่วนคนอีก 99 เปอร์เซ็นต์แทบไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย” จนเป็นที่มาของ จลาจลวอลล์สตรีท (Wall Street Occupy) ที่ชาวอเมริกันจำนวนมากออกมาชุมนุมประท้วง ณ มหานครนิวยอร์ก ศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา เมื่อปี 2554 ที่ผ่านมา

ต้องแยกแยะ “ใครบ้างที่ควรช่วย”

นักบริหารและนักเศรษฐศาสตร์รายนี้ กล่าวต่อไปถึงมาตรการช่วยเหลือต่างๆ ของภาครัฐ ที่มักทำกันแบบ “เหวี่ยงแห” ช่วยไปหมดทุกกลุ่ม เช่น สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) หรือที่คุ้นหูในชื่อ “บีโอไอ” (BOI) ที่ผ่านมาแทบจะช่วยเหลือภาคธุรกิจทุกรายที่มาร้องขอ ทำให้นายทุนทั้งหลายรวยอย่างก้าวกระโดดกันถ้วนหน้า แต่ประเทศชาติไม่ได้ประโยชน์เท่าที่ควร เพราะแทบไม่ได้สร้างองค์ความรู้อะไรให้กับสังคมไทยเลย จึงแนะนำว่า BOI ควรจำกัดการช่วยเหลือเฉพาะธุรกิจที่ “ต่อยอดนวัตกรรม” เท่านั้น เพราะทำให้สังคมไทยพึ่งพาตนเองได้

“โครงการที่ทำให้ไทยมีนวัตกรรม อย่างไทยเราเก่งเกษตร อาหาร พลังงานทดแทน ถ้าเราสามารถทำเรื่องเกษตรแปรรูป เรื่องพลังงานทดแทน อย่างเรื่องของยางรถยนต์ การนำยางมาแปรรูปทำให้เพิ่มมูลค่าได้มากขึ้น นี่คือสิ่งที่บีโอไอควรจะเน้น อุตสาหกรรมที่เราทำได้ดีเราควรจะไปให้ไกล จะได้เป็นผู้นำอย่างแท้จริง อย่างยานยนต์เราก็ทำได้แต่ยังทำประกอบอยู่ แต่เราก็มีสายการผลิตที่เข้มแข็ง เรื่องชิ้นส่วนนี่เราเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ แต่เราก็ยังไม่มีศูนย์ทดสอบชิ้นส่วนยานยนต์ อันนี้ละครับที่เราน่าเอาเงินงบประมาณของรัฐไปลง” ดร.กอบศักดิ์ ระบุ

เช่นเดียวกัน โครงการช่วยเหลือประชาชนไม่ว่าจะเป็นเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ เงินอุดหนุนการศึกษาของเด็ก ฯลฯ ภาครัฐต้อง “แยกแยะ” ว่าใครบ้างที่ “ควรช่วย” และทุ่มทรัพยากรไปที่คนกลุ่มดังกล่าวอย่างเต็มที่ แม้กระบวนการแยกแยะจะลงทุนสูงมากก็ตาม แต่ในระยะยาวรัฐจะไม่สูญเสียงบประมาณไปโดยเปล่าประโยชน์ให้กับคนที่ไม่จำเป็นต้องช่วย ขณะที่ประชาชนเองก็ต้องเข้าใจว่า “ไม่ใช่การแบ่งชนชั้น” แต่เพื่อให้แก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ดูอย่างเบี้ยยังชีพคนชรา ปัจจุบันเราไม่จำแนกทำให้ต้องจ่ายให้ทุกคน 8 ล้านคน ทั้งๆ ที่มีคนต้องการความช่วยเหลือจริงๆ แค่ 1-2 ล้านคน ถ้าเราทุ่มให้กับระบบจำแนกมันจะเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง เพราะปัจจุบันเราให้เขาเดือนละ 700 บาท เขาก็อยู่ไม่ได้เหมือนเดิม แต่เราก็แจกหมดแล้ว นี่ไงของดีกลายเป็นของเสีย หลายโครงการเรารู้ปัญหา เช่นคุณภาพการศึกษาในชนบท เราก็ทุ่มไปที่การศึกษาในชนบท อันนี้มั่นใจว่าไม่ผิดเป้า

แล้วคนที่มาขอรับความช่วยเหลือต้องแสดงรายได้ ถ้าพบว่าคุณมาหลอกหรือมาโกงภาษีคุณก็ถูกลงโทษ คนรวยหรือคนชั้นกลางเขาก็ไม่อยากถูกลงโทษหรอก อย่างน้อยก็ตัดออกไปได้ 2 กลุ่ม วันนี้เราบอกว่าเราไม่สามารถยอมรับการแบ่งแยกคนได้ แต่สุดท้ายก็คือไม่ได้ช่วยใครเลย ก็ต้องกลับมาคิดว่าเราจะช่วยเขาจริงๆ จังๆ หรือเปล่า ถ้าจะช่วยก็ต้องแบ่งแยกเพื่อให้เราได้คนที่ใช่มา แล้วระบบแบบนี้ ใครมาหลอกแล้วต่อมาเราไปรู้ทีหลังอันนี้เขาก็มีปัญหา เขาก็ไม่กล้าทำหรอก ผมมั่นใจว่าแบบนี้คงจะหายไปเยอะ” ดร.กอบศักดิ์ ให้ข้อเสนอแนะ

“จัดระเบียบ” ถือครองที่ดิน

นอกจากเรื่องของทุนแล้ว “ที่ดิน” ก็สำคัญไม่แพ้กัน เพราะที่ผ่านมาที่ดินในไทยส่วนใหญ่อยู่ในการครอบครองของกลุ่มทุนเพียงไม่กี่กลุ่ม ขณะที่คนอีกจำนวนมากไม่มีแม้ที่ดินสำหรับปลูกสร้างที่อยู่อาศัย ซึ่งในประเทศพัฒนาแล้วจะมีการเก็บภาษีที่ดินโดยยึดตามปริมาณที่ดินที่ถือครอง “ใครมีที่ดินมากก็จ่ายมาก” โดยเฉพาะที่ดินที่ปล่อยไว้เฉยๆ ไม่ได้ทำประโยชน์ เพื่อบีบให้บรรดาเจ้าที่ดินทั้งหลายปล่อยที่ดินออกมาให้รัฐนำไปทำประโยชน์กับประชาชนโดยรวม ขณะเดียวกันการจัดสรรที่ดินต้องมีมาตรการเพื่อ “ปิดทาง” ไม่ให้ผู้ได้รับที่ดินนำไปขายให้นายทุนได้อีก

“มีที่ดินจำนวนมากรกร้าง แล้วก็มีที่ดินกระจุกตัวอยู่ในมือกลุ่มทุนบางกลุ่ม ทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง วิธีเก่าๆ อย่าง ส.ป.ก. แจกเมื่อไรหลุดมือใน 3-5 ปี บอกห้ามขายก็ขายได้ เลือดเลยไหลไม่หยุดจากรัฐไปสู่กลุ่มทุน จึงต้องมีมาตรการ เช่น แจกที่ดินไม่ใช่แจกเป็นรายบุคคลแต่แจกในรูปชุมชน เรียกว่าที่ดินแปลงใหญ่หรือโฉนดชุมชน ให้ชุมชนดูแลกันเอง ห้ามขาย ถ้าขายก็ถูกตัดสิทธิ์ทั้งชุมชน

หรือภาษีที่ดินรกร้าง ทำให้คนมีที่เป็นแสนเป็นหมื่นไร่ต้องคายออกมา เพราะไม่มีใครอยากจะถือที่ดินรกร้าง อันนี้ถือเป็นการยกเครื่องใหม่ของการปฏิรูปที่ดินประเทศไทย มีคนศึกษาไว้ครับว่าที่ดินรกร้างแต่ละปีสร้างความเสียหายกับเศรษฐกิจประเทศนับแสนล้านบาท” ดร.กอบศักดิ์ ฝากทิ้งท้าย

SCOOP@NAEWNA.COM

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

'ดร.ส้ม' ลั่นไม่เคยเคลมผลงานใคร ยันลุยดัน กม.คุกคามทางเพศมาตั้งแต่ปี62

มีหนาว! คุกคามทางเพศผ่านโซเชียลมีเดีย มีผลบังคับใช้แล้ววันนี้

ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ พ.ร.บ.ปกครองท้องที่ ฉบับใหม่ กำหนดคุณสมบัติต้องห้าม ผู้ใหญ่บ้าน

สุริยะใส ย้อนเกล็ด เลือกตั้ง ไม่เอาลุง ครั้งนี้ ไม่เอาเทา คงได้ รัฐบาลเทวดา

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved