วิกฤติยางพารา...
ที่มีจำนวนผลผลิตล้นตลาด และราคาตกต่ำหนักที่สุดในรอบ 100 ปี ทำให้เกษตรกรชาวสวนยางได้รับความเดือดร้อน เพราะผลตอบแทนที่ได้รับไม่คุ้มค่า ซึ่งประเด็นหนึ่งที่ทำให้ยางพาราอยู่ในภาวะ “โคม่า” ต้องยอมรับว่ามาจากการที่ผู้ประกอบการยังขาดองค์ความรู้และเทคโนโลยีการแปรรูปยางพาราเป็นสินค้าขั้นต้น และสินค้าขั้นกลางสำหรับจำหน่ายในตลาดเพื่อ “เพิ่มมูลค่า” ให้สูงขึ้น
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย หรือ “สกว.” เล็งเห็นความสำคัญของปัญหายางพาราที่เกิดขึ้น จึงร่วมมือกับหลายหน่วยงาน โดยเฉพาะคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี หรือ “ม.อ.ปัตตานี” ร่วมหาแนวทางแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องโดยมุ่งเน้นใช้ “นวัตกรรม” เข้ามาช่วย เพราะมองว่าการแปรรูปยางธรรมชาติทั้งในรูปผลิตภัณฑ์ และเพิ่มการใช้งานภายในประเทศ เป็นอีกหนทางที่จะเพิ่มมูลค่าแก่สินค้าการเกษตรนี้ได้
ผศ.ดร.อดิศัย รุ่งวิชานิวัฒน์ อาจารย์ประจำภาควิชาเทคโนโลยียางและพอลิเมอร์ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ม.อ.ปัตตานี กล่าวว่า ภาวะปริมาณยางพาราในประเทศที่มากขึ้นจน “ล้นตลาด” ภาครัฐจะต้อง “ควบคุม” พื้นที่ปลูก ส่วนที่ปลูกแล้วต้องนำมา “แปรรูป” เป็นผลิตภัณฑ์ให้มากขึ้น จากเดิมที่เน้นขายเป็นวัตถุดิบ และภาครัฐควรสนับสนุนการซื้อตัวผลิตภัณฑ์นั้นๆ เพื่อนำไปใช้จริง ถือว่าเป็นการซื้อ “นำตลาด” ก่อนที่ผลิตภัณฑ์จะวางจำหน่ายจริง เพราะการซื้อในปัจจุบันเป็นการซื้อวัตถุดิบ ไม่ใช่ซื้อตัวผลิตภัณฑ์ที่ทำจากยางพารา ซึ่งที่ผ่านมา สกว. และ ม.อ.ปัตตานี ได้ร่วมกันวิจัยนำวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมมาสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับยางพารา หนึ่งในตัวอย่างที่ประสบผลสำเร็จเป็นรูปธรรม คือ...
สูตรน้ำยาง “ครีมมิ่ง”!!!
นักวิจัยผู้นี้กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ สกว. และ ม.อ.ปัตตานีได้จัดทำโครงการต้นแบบการผลิตน้ำยางข้นจากกระบวนการ “ครีมมิ่ง” ในระดับอุตสาหกรรมและต้นแบบการประยุกต์ใช้งานในการทำน้ำยาง “เคลือบสระน้ำ” ซึ่งถูกพัฒนาจนประสบผลสำเร็จ ถูกนำไปขยายผลใช้จริงในหลายพื้นที่ เช่น ปี 2552 ได้ลงพื้นที่เคลือบน้ำยางพื้นสระให้องค์การสวนยางบ้านนาบอน จ.นครศรีธรรมราช จนถึงขณะนี้ผ่านมาแล้ว 6 ปีสระยังสมบูรณ์ใช้งานได้ดี, ปี 2553 นำไปเคลือบพื้นสระให้เกษตรกรผู้เลี้ยงปลา จ.ปัตตานี
ปี 2554 ขยายผลสร้างความร่วมมือกับ บริษัท ยูเอส บ่อทอง จำกัด จ.ชลบุรี ในการนำน้ำยางไปปูพื้นบ่อให้กับโรงงานอุตสาหกรรมยางขนาดบ่อ 10x15x2 เมตร และปี 2558 ได้สร้างบ่อเก็บกักน้ำในพื้นที่สูงที่ อ.งาว จ.ลำปาง ซึ่งมีความสูง 800-900 เมตร เหนือระดับน้ำทะเล โดยนำน้ำยางครีมมิ่งไปปูพื้นบ่อขนาด 20x20x3.5 เมตร จำนวน 3 บ่อ เพื่อให้ชาวบ้านในพื้นที่มีน้ำอุปโภคบริโภค
“วิธีการนี้ช่วยเพิ่มมูลค่าน้ำยางได้สูงถึงกิโลกรัมละ 90 บาท และยังเป็นการกระตุ้นให้เกิดการนำน้ำยางพาราไปใช้ในปริมาณที่มากขึ้น เพราะบ่อน้ำขนาด 10x20x2.5 เมตร จะใช้ปริมาณน้ำยางประมาณ 2 ตันหรือเฉลี่ยใช้น้ำยางแห้งตารางเมตรละ 1 กิโลกรัม ซึ่งจะช่วยประหยัดต้นทุนได้มากกว่าการสารใช้สารเคมีอื่นๆ ที่นำเข้าจากต่างประเทศเพื่อปูพื้นสระ” ผศ.ดร.อดิศัยกล่าว
ผศ.ดร.อดิศัยกล่าวอีกว่า โครงการดังกล่าวจะเน้นเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์จากน้ำยางเป็นหลัก โดยน้ำยางข้นชนิดครีมมิ่งจะใช้เคลือบสระเพื่อกักเก็บน้ำ ซึ่งมีความสะดวกมากกว่าและมีอายุใช้งานนานขึ้น เมื่อเทียบกับการปูพื้นสระด้วยพลาสติก ส่วนผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ได้ เช่น ถุงมือ ลูกโป่ง ถุงยางอนามัยหมอน เป็นต้น แต่ถ้าเป็นเทคโนโลยี “ยางแห้ง” จะนำไปทำสนามฟุตซอล ปูพื้นสนามเด็กเล่น เป็นต้น
“หลังจากนำน้ำยางครีมมิ่งมาแปรรูปเสร็จจะช่วยเพิ่มมูลค่าขึ้นสูงถึง 12 เท่า ขึ้นอยู่กับชนิดของผลิตภัณฑ์ เช่น แปรรูปเป็นถุงยางอนามัยจะสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 100 เท่า โดยขณะนี้ได้จดทะเบียนเป็น ทรัพย์สินทางปัญญาของ ม.อ.ปัตตานี และมีผู้ประกอบการหลายรายติดต่อเพื่อรับช่วงต่อนำน้ำยางไปผ่านกระบวนการผลิตเพื่อจำหน่ายให้ผู้ที่สนใจนำไปใช้ปูพื้นสระน้ำ หรือบ่อเลี้ยงปลาจำนวนมาก จึงเชื่อว่าน้ำยางครีมมิ่งเป็นอีกเทคโนโลยีหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาราคายางตกต่ำและล้นตลาดได้ดี” ผศ.ดร.อดิศัย กล่าว
ด้านนางอาตีกะห์ ฮารีบิน เกษตรกรผู้เลี้ยงปลาในบ่อยาง “ครีมมิ่ง” กล่าวว่า การเลี้ยงปลาในบ่อปูนซีเมนต์จะเกิดน้ำเสียได้ง่าย เพราะมีอาหารตกค้างอยู่ใต้บ่อ ในทางกลับกันบ่อยางครีมมิ่งสามารถดูดน้ำเสียและความร้อนได้ดีกว่า อีกทั้งอัตราการเติบโตของปลาในบ่อปูนจะใช้เวลา 4-5 เดือนถึงจะจับไปจำหน่ายได้ แต่เลี้ยงในบ่อยางครีมมิ่งใช้เวลาเพียง 2 เดือนครึ่งก็จำหน่ายได้แล้ว
ขณะที่นายสุไลมาน ดือราโอ หัวหน้ากลุ่มวิสาหกิจชุมชนสายบุรี จ.ปัตตานี กล่าวว่า กลุ่มได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีน้ำยางครีมมิ่งมาพัฒนาสูตรน้ำยางคอมปาวด์ หรือน้ำยางธรรมชาติที่ผสมสารเคมีเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มคุณสมบัติบางประการ และผลิตเป็นสินค้าแปรรูปต่างๆ โดยเฉพาะบ่อเลี้ยงปลาดุก และวงบ่อปลูกมะนาว เป็นต้น โดยบ่อยางเลี้ยงปลาที่กลุ่มผลิตจะมีราคาถูกกว่าบ่อซีเมนต์มีน้ำหนักเบาและเคลื่อนย้ายสะดวก นอกจากนี้เรายังเคลือบน้ำยางคอมปาวด์ที่มี “สีดำ” เพื่อช่วยให้อุณหภูมิของน้ำที่ใช้เลี้ยงปลาสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ปลาเติบโตเร็วใช้เวลาเพียง 2 เดือนครึ่ง ก็จับไปจำหน่ายได้
“ปัจจุบันกลุ่มมีสมาชิกราว 300 คน ทุกคนล้วนมีรายได้เพิ่มมากขึ้นทั้งจากการขายบ่อยาง และปลาเลี้ยง โดยกลุ่มจะรับซื้อน้ำยางสดจากชาวสวนมาแปรรูปทำผลิตภัณฑ์ต่างๆ ภายใต้เทคโนโลยีของนักวิจัย สกว. โดยไม่กลัวความผันผวนของราคายาง เพราะสามารถกำหนดราคาเองได้ ซึ่งการพัฒนาผลิตภัณฑ์แปรรูปจากยางพาราจะเดินหน้าต่อไป ในอนาคตกลุ่มจะร่วมทำงานวิจัยกับ สกว.เพื่อลดข้อจำกัดต่างๆ เช่น การเพิ่มอายุการใช้งานน้ำยางคอมปาวด์ จากปัจจุบันที่เก็บได้เพียง 1 เดือน ให้อยู่ได้นาน 3 เดือน เป็นต้น” นายสุไลมาน กล่าว
ปัญหาราคายางพาราตกต่ำที่เกิดขึ้น นับเป็นบทเรียนสำคัญของเกษตรกร และรัฐบาลไทย ที่คงต้องปรับตัวมากขึ้น จากเดิมที่เน้นขายสินค้าเดิมๆ เป็นหันมาใช้นวัตกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถพึ่งพาตนเองได้ หากต้องเผชิญความเสี่ยงในระยะข้างหน้าอีกครั้ง
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี