หากถามว่า “สินค้าจากประเทศใดคนไทยคุ้นเคยที่สุด” เชื่อว่าคงหนีไม่พ้น “ญี่ปุ่น” ซึ่งไม่แปลกหากหลายคนจะตอบเช่นนี้ เพราะรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านยี่ห้อต่างๆ ที่พบบ่อยๆ ในสังคมไทย มักมียี่ห้อบ่งบอกถึงความเป็นญี่ปุ่นกันเสียมาก และได้รับความไว้วางใจไม่แพ้สินค้าจากยุโรปหรือสหรัฐอเมริกา
ขณะเดียวกัน เมื่อดูข้อมูลการลงทุน เช่น บทความ “สถานะปัจจุบันและความท้าทายในอนาคตของการลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ” เขียนโดย อนุสรา อนุวงศ์ อ้างอิงสถิติของ ธนาคารแห่งประเทศไทย(แบงก์ชาติ) ปี 2556 ก็พบว่ากลุ่มทุนจากแดนซามูไร มีสัดส่วนการลงทุนในไทยมากที่สุด คือร้อยละ 54 ทิ้งห่างอันดับ 2 อย่างสหรัฐอเมริกา ที่มีสัดส่วนการลงทุนเพียงร้อยละ 13 และอันดับ 3 ร่วม คือสหราชอาณาจักรและกลุ่มประเทศอาเซียน อยู่ที่ร้อยละ 12
ผศ.ดร.พีระ เจริญพร อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวในงานสัมมนาวิชาการ “การลงทุนโดยตรงจากญี่ปุ่นหลังวิกฤติ 40 : การเปลี่ยนแปลงและนัยต่อประเทศไทย” เมื่อเดือน ม.ค. 2559 ณ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์) ว่าขณะนี้ญี่ปุ่นมีฐานการผลิตที่สำคัญในเอเชีย 2 แห่ง..
นั่นคือ “อาเซียน” และ “จีน”!!!
อาจารย์พีระอธิบายถึงเส้นทางของสินค้าญี่ปุ่นในภาคอุตสาหกรรมว่า ผู้ผลิตเจ้าต่างๆ ของญี่ปุ่น จะใช้วิธีการนำชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ ไปประกอบที่จีน ก่อนส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาและกลุ่มประเทศสหภาพยุโรป เช่นเดียวกับภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ไทยค่อนข้างเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอย่างชัดเจน
“ญี่ปุ่นเติบโตอย่างมากในอาเซียน กระแสการลงทุนในอาเซียนสูง ฐานการผลิตมีอยู่ 2 ฐานการผลิต ฐานแรกก็คือจีน ฐานที่ 2 คืออาเซียน ซึ่งสองฐานการผลิตนี้เป็นฐานการผลิตที่สำคัญของญี่ปุ่น ญี่ปุ่นพยายามกระจายความเสี่ยงออกเป็นสองฐาน อาเซียนในตอนนี้ ญี่ปุ่นมาลงทุนเยอะมาก เราจะเห็นมีสินค้าญี่ปุ่นเข้ามาร่วมทุน ญี่ปุ่นมาลงทุนในประเทศไทยส่วนหนึ่ง ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในเรื่องของยานยนต์ชัดเจน” อาจารย์พีระ กล่าว
แต่ถึงประเทศไทยจะเป็นฐานการผลิตสำคัญ ทว่าคนไทยก็ห้าม “ประมาท” อาจารย์พีระ เล่าต่อไปว่า เมื่ออาเซียนรวมตัวเป็นประชาคมที่แน่นแฟ้น และมีการไหลเวียนของการค้า-การลงทุนมากขึ้น ประการแรก..กฎระเบียบหลายอย่างของไทยยังไม่เอื้อกับการลงทุนเท่าใดนัก ยกตัวอย่างกรณี “การให้สิทธิพำนักถาวร” ของชาวต่างชาติที่มีความรู้ความสามารถ เช่นกรณีของสิงคโปร์ ที่ให้แม้กระทั่งสัญชาติกับใครก็ตามที่เข้ามาทำให้ประเทศของตนเจริญรุ่งเรือง รวมถึงหลายๆ อาชีพในไทยยังติดกฎว่าด้วยอาชีพสงวน
“ญี่ปุ่นบอกเสมอว่าอยากจะอัพเกรดประเทศไทย แต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าผู้เชี่ยวชาญของเขาเข้ามายากมาก ในขณะที่สิงคโปร์ให้เต็มที่ จะเปลี่ยนสัญชาติก็ได้ แต่ประเทศไทยไม่ใช่ แต่ถ้าอยากจะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลาง ถ้าวิศวกรไม่มี เราต้องอิมพอร์ตคนเข้ามา แนวคิดแบบนี้คนไทยยังไม่เปิด” อาจารย์พีระ ระบุ
กับประการที่สอง..คนไทยต้องถามตนเองก่อนว่า “พร้อมจะปรับตัวหรือไม่?” เพราะในขณะที่ค่าจ้างแรงงานไทยสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน แต่ทักษะของแรงงานไทยก็ไม่ได้สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ จนอาจทำให้มีการย้ายไปลงทุนยังประเทศเพื่อนบ้านแทนได้
โดยเฉพาะ “ภาษาอังกฤษ” จุดอ่อนสำคัญของคนไทยแทบทุกสาขาอาชีพ..และแทบทุกระดับการศึกษา!!!
“..ประเทศไทยเจอวิกฤติมากมายทั้งความไม่แน่นอนของการเมือง ขาดแคลนแรงงาน ค่าแรงแพงขึ้น และเกิดภัยธรรมชาติ ทำให้นักลงทุนเกิดความวิตกและลังเลที่จะเข้ามา แต่ญี่ปุ่นก็เลือกที่จะมาลงทุนในประเทศไทย เพื่อที่จะหาฐานผลิต เพราะแรงงานไทยมีชื่อด้านงานฝีมือและมีความละเอียดอ่อน..
..ถ้าเราปรับตัวได้เราจะสามารถเป็นศูนย์กลาง อุปสรรคหลักๆ เลยคือภาษา สิงคโปร์ค่าแรงแพงกว่าไทย แต่คนสิงคโปร์ 1 คน ทำงานได้มากกว่าคนไทย 5 คน เรามาถึงจุดเปลี่ยน ถ้าไทยไม่สามารถปรับตัวได้ คือ ไม่สามารถเป็นแกนนำได้ เราไม่สามารถอัพเกรดฐานการผลิตในประเทศไทย ให้ไปสู่ระดับที่สูงขึ้นได้ เราจะต้องกลายเป็นผู้จัดส่งวัตถุดิบ ขยับระดับของสินค้าให้สูงขึ้น แรงงานไทยต้องมีทักษะเพิ่มมากขึ้น..” นักเศรษฐศาสตร์รายนี้ ฝากทิ้งท้าย
อารีรัตน์ คุมสุข
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี