เป็นเรื่องสะเทือนใจรับปีใหม่ เมื่อ ดร.กุลชาติ จันทร์เพ็ญ อาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี (คลอง 6 ปทุมธานี) โพสต์ข้อความลงในเฟซบุ๊คส่วนตัว “Kunlachart Junlapen” เมื่อต้นเดือน ม.ค. 2559 ที่ผ่านมา ระบุว่า น.ส.ธมลวรรณ แซ่ว่าง นักศึกษาชั้นปีที่ 1 คณะวิศวกรรมศาสตร์ ซึ่งเป็นชาวไทยเชื้อสายม้ง อ.เชียงคำ จ.พะเยา ตัดสินใจลาออกจากการเรียน ทั้งที่ได้เกรดเฉลี่ย 3.07 ถือว่าเป็นเด็กเรียนดี
สาเหตุเพราะทางบ้าน “ยากจน” มีพี่น้องหลายคน..พ่อแม่จึง “ขอร้อง” ให้ออกมาทำงานช่วยครอบครัว!!!
เรื่องราวทำนองนี้ใช่ว่าจะมีเป็นกรณีแรก ที่ผ่านมาเราสามารถพบเห็น “ชีวิตรันทด” ได้หลายต่อหลายครั้งผ่านหน้าสื่อต่างๆ ที่บ้างต้องเลี้ยงดูพ่อแม่ที่พิการ บ้างต้องเลี้ยงดูปู่ย่าตายายที่แก่เฒ่า และในจำนวนนี้ไม่น้อยเลยไม่สามารถเรียนต่อในระดับสูงได้ แม้จะมีสติปัญญาพร้อมบวกกับภาครัฐหรือสถาบันการศึกษามีทุนให้ แต่ก็ “จำใจต้องเสียสละ” ออกจากโรงเรียน-มหาวิทยาลัย ไปทำงานเพื่อช่วยเหลือทางบ้าน
ดร.ไกรยส ภัทราวาส นักเศรษฐศาสตร์ด้านการศึกษา สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) ให้สัมภาษณ์กับ “สกู๊ปหน้า 5”ชี้ให้เห็นถึงปัจจัยที่ทำให้ภาครัฐของไทยแก้ปัญหานี้ไม่ได้นั่นคือการคำนวณค่าใช้จ่ายทางการศึกษา “ยังไม่ครอบคลุม” โดยทั่วไปเรามักคิดถึงเฉพาะค่าเล่าเรียน(ค่าเทอม) ค่าเครื่องแบบ ค่าตำราและเรียน อุปกรณ์การเรียน หรือแม้แต่ค่าอาหารกลางวันเท่านั้น แต่ไม่รวมถึง“ค่าเดินทาง” ซึ่งมีผลมากโดยเฉพาะกับเด็กในชนบทที่ต้องเดินทางไปเรียนในโรงเรียนไกลบ้านหลายกิโลเมตร
และนอกจากค่าใช้จ่ายโดยตรงดังกล่าวแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายโดยอ้อมอีก เรียกว่า “ค่าเสียโอกาส” เช่น ครอบครัวที่มีฐานะยากจนและมีลูกหลายคน เมื่อลูกโตได้ระดับหนึ่งก็จะให้ออกจากโรงเรียนมาช่วยทำงานเพื่อส่งน้องๆ ให้ได้เรียนบ้าง ซึ่งจะไปโทษพ่อแม่ผู้ปกครองอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะแม้จะรู้ดีว่าหากลูกได้เรียนสูงๆ จะช่วยทำให้หลุดพ้นจากความจนได้ก็ตาม..
แต่วันนี้ “ข้าวปลายังไม่มีจะกิน” ก็ต้องหารายได้มาประทังชีวิตเฉพาะหน้าให้รอดไปก่อน!!!
“ในทางเศรษฐศาสตร์มีค่าใช้จ่ายที่เรียกว่าค่าเสียโอกาส สมมุติกระทรวงศึกษาฯให้ครบเลยนะ ค่าเทอมค่าเครื่องแบบ ค่าเดินทาง ทุกอย่างครบ แต่เด็กไปเรียนพ่อแม่ก็เสียแรงงานไปคนหนึ่ง ก็ขาดรายได้ไปวันละ 300 บาทพ่อแม่ก็ยังมีแรงจูงใจที่จะดึงเด็กออกมาอยู่ดี เพราะมองไม่เห็นอนาคตว่าถ้าลูกได้เรียนสูงๆ จะจบออกมาจุนเจือครอบครัวได้ และความยากจนมันมากจริงๆ มากเสียจนพ่อแม่เขารอให้เรียนจบไม่ได้ เพราะเย็นนี้ยังไม่มีข้าวกิน” ดร.ไกรยส กล่าว
แต่ก็ใช่ว่าไม่มีทางแก้..นักเศรษฐศาสตร์รายนี้ยกตัวอย่าง บราซิล ประเทศทางอเมริกาใต้ที่มีอะไรหลายๆ อย่างคล้ายกับไทย รวมถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม รัฐบาลบราซิลลงทุนออกคูปองให้ครอบครัวที่ยากจน สามารถนำไปแลกสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีพ ทำให้ลดแรงจูงใจที่พ่อแม่ผู้ปกครองจะนำบุตรหลานออกจากระบบการศึกษาไปทำงานได้มากพอสมควร
แต่การจะทำเช่นนั้นได้จำเป็นจะต้องมี “ฐานข้อมูลอย่างละเอียด” เสียก่อน ทว่าปัญหาของไทยคือแม้ฝ่ายปฏิบัติการทั้งครูและผู้บริหารโรงเรียนจะทราบว่าในโรงเรียนของตน เด็กคนไหนเข้าข่ายต้องให้การช่วยเหลือบ้าง แต่อำนาจการตัดสินใจยังอยู่ที่ส่วนกลาง คือกระทรวงศึกษาธิการ และข้อมูลที่ส่งมายังส่วนกลางมีเป็นจำนวนมาก ยากที่จะดูได้อย่างทั่วถึง จึงควร “กระจายอำนาจ” ให้หน่วยงานท้องถิ่นมีบทบาทมากขึ้น และในที่นี้ไม่จำเป็นต้องเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) อย่างเดียว แต่อาจเป็นสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษารวมถึงโรงเรียนก็ได้
“กระบวนการงบประมาณส่วนกลางยังเป็นผู้ตัดสินใจแต่คนที่ดูเรื่องนี้ในส่วนกลางมีแค่ประมาณ 10 คน เทียบกับเคสที่ส่งมาจากทั่วประเทศกว่า 6 ล้านเรื่อง ในอนาคตควรจะกระจายการตัดสินใจไปอยู่ที่ระดับจังหวัด ตามพื้นที่ ตามโรงเรียน จาก 6 ล้านเรื่อง ก็จะแยกเหลือจังหวัดละพันเรื่องหรือหมื่นเรื่อง มันก็จะบริหารจัดการได้จริง และอยู่ใกล้ข้อมูลจริงด้วย อย่าง 6 ล้านรื่อง ส่วนกลางจะถามรายละเอียดเพิ่มมันก็ลำบาก”
ดร.ไกรยส ระบุ และกล่าวเสริมอีกว่า หากภาครัฐมีฐานข้อมูลที่เป็นจริงของเด็กแต่ละคนอย่างละเอียด ย่อมสามารถ “บูรณาการ” ความช่วยเหลือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งในกระทรวงเดียวกันและต่างกระทรวง ทำได้อย่างครบถ้วนรอบด้าน
อีกด้านหนึ่ง..ผู้บริหารภาครัฐในทุกระดับ รวมถึงสังคมไทยต้อง “ปรับทัศนคติ” จากเดิมที่เชื่อว่าการให้สวัสดิการรัฐต้อง “ให้แบบเท่ากันทุกคน” เปลี่ยนเป็น “ให้เฉพาะผู้ต้องการจริงๆ” เพราะการให้เท่ากันทุกคน ผลคือคนที่ต้องการความช่วยเหลือจริงๆ จะได้รับความช่วยเหลือไม่เต็มที่ เนื่องจากต้องเฉลี่ยไปให้คนอื่นๆ ที่มีฐานะดีอยู่แล้วและไม่จำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือแต่อย่างใด ทำให้สูญเสียงบประมาณไปโดยไม่เกิดประโยชน์
“เด็กโรงเรียนใหญ่ๆ ในกรุงเทพฯได้เงินยากจนทั้งที่ไม่จำเป็นจะต้องได้ มันก็เป็นค่าเสียโอกาสของเด็กที่จังหวัดตาก ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ที่เขาต้องการมากกว่า หรือเครื่องแบบที่เราบอกว่าทุกคนต้องได้ แต่เด็กที่ฐานะดีๆ สุดท้ายพ่อแม่ก็เอาไปให้คนรับใช้ คือเขาไม่จำเป็นที่จะต้องได้ แทนที่เสื้อผ้าชุดนั้นจะมีคนใส่ที่แม่ฮ่องสอน แล้วไปบอกว่าใครไม่ต้องการก็ให้บริจาคคืน ก็ไม่มีใครบริจาคคืนเพราะเอาติดไม้ติดมือไปแจกคนอื่นหรือเอาไปทำอะไรอย่างอื่น..
..การจ่ายงบประมาณของไทยทุกคนต้องได้เท่ากัน ในความเป็นจริงคนไม่ได้ต้องการเท่ากัน เด็กที่ยากจนต้องมีเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มพอที่จะใส่ไปเรียน ค่าอาหารกลางวัน ค่าเดินทาง อะไรต่างๆ เขาควรจะได้ตามความต้องการจริงๆ แต่เราไปตีความว่าต้องให้เท่ากัน ผลคือเหลือเงินถึงคนที่เขาต้องการจริงๆ ไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วย”
นักเศรษฐศาสตร์จาก สสค. รายนี้ ฝากทิ้งท้าย ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณเพิ่ม เพราะอยู่ที่การบริหารจัดการให้เม็ดเงินลงไปสู่คนที่ต้องการจริงๆ เท่านั้น พร้อมกับมีระบบติดตามว่างบประมาณถูกใช้ไปตรงตามวัตถุประสงค์หรือไม่?
ปฏิรูปการศึกษาทั้งที “คิดมุมใหม่” แบบนี้บ้าง..คงยุติวงจร “เหลื่อมล้ำ-ยากจน” ได้อย่างยั่งยืน!!!
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี