“ต้องกลายเป็นคนพิการ สุดแสนจะทรมาน ร้าวรานทั้งกายและใจ มือขวาไม่มี เพราะแรงระเบิดทำลาย ยังดีที่เหลือมือซ้าย พอได้ช่วยเหลือตัวเอง...”
บทเพลงนี้ขับขานกล่อมผู้คนที่กำลังเดินผ่านบันไดทางขึ้นรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีหมอชิต หลายคนหยุดหย่อน “เศษเหรียญ” ลงในกล่องบริจาคที่ตั้งอยู่ตรงหน้า “ลุงวาส”หรือนายวาสนา เชื้อวงศ์ อดีตอาสาสมัคร “ทหารพราน”วัย 59 ปี ชายพิการเจ้าของเสียงเพลง อาจจะด้วย “สังเวช”หรือประทับใจ ไม่มีใครรู้ แต่เศษเงินนั้นเป็นดั่งการต่อ “ลมหายใจ” ให้ชายผู้นี้ก้าวผ่าน “สมรภูมิชีวิต” ไปได้
“ลุงวาส” อาจเป็นเพียง “วณิพก” ร้องเพลงแลกเศษเงินในสายตาของหลายคน แต่หากได้หย่อนกายลงพูดคุยเรื่องราวความ “กล้าหาญ” และความ “ไม่ย่อท้อ”ในชีวิตของเขาน่าสนใจไม่น้อย จนมีการแชร์ต่อและสร้างความประทับใจอย่างมากในโลกออนไลน์
อดีตทหารพรานที่กลายเป็นผู้พิการ บอกกับ “สกู๊ปแนวหน้า”ว่า จับไมค์ร้องเพลงอยู่ที่บริเวณนี้มาได้ 8 ปีแล้ว โดยเขาเกิดที่ จ.อุบลราชธานี มีพ่อเป็นผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งมักจะสอนเขาเสมอว่าให้ “รับใช้ชาติ” ตามความสามารถและโอกาส ประกอบกับเขาฝันอยากเป็น “ทหาร” แต่ด้วยความยากจน ความรู้น้อยจบแค่ ป.4 โอกาสเป็น“นายร้อยห้อยกระบี่” จึงปิดตาย แต่เขาไม่ปล่อยให้ความ “ด้อยโอกาส” ทำลายความฝัน เมื่อโอกาสเปิดจึงสมัครเข้าเป็น “ทหารพราน”
“ปี 2527 ลุงเข้าประจำการที่กรมทหารพรานที่ 13 ค่ายเขาไผ่จ.สระแก้ว เป็นหน่วยกองร้อยล่าสังหารและกู้ระเบิด แม้จะเสี่ยงอันตราย แต่ลุงไม่กลัว คิดอย่างเดียวว่าถ้าเราไม่เก็บกู้ ระเบิดนั้นจะย้อนมาทำอันตรายต่อทหารและคนไทย” ชายผู้พิการตาบอด กล่าวด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น
โชคชะตามักเล่นตลก!!!
“ลุงวาส” ก็หนีไม่พ้นเช่นกัน เพราะครั้งหนึ่งหลังปฏิบัติภารกิจเก็บกู้ระเบิดเสร็จ ระหว่างทางกลับสู่ฐานที่มั่น “ไข้มาลาเรีย” ก็เล่นงานเขาจนต้องเข้าพักรักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลานาน จนต้อง “ลาออก” จากอาชีพที่ใฝ่ฝัน ต้องถอดเครื่องแบบที่รักผันกายเป็นชาวบ้านธรรมดา หาปูหาปลาขายประทังชีวิต
กระทั่งเช้าวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2535 เสียงระเบิดดังกึกก้องที่ “ห้วยคลองใหญ่” จ.สระแก้ว ทำให้ลุงวาสก้าวสู่ “จุดเปลี่ยน” ครั้งสำคัญในชีวิต เพราะแรงระเบิดทำให้เขา “ตาบอด” ทั้ง 2 ข้าง ฟันหน้าหัก หูซ้ายดับ และแขนขวาขาด ต้องกลายเป็นคนพิการในวัย 35 ปี
“วันนั้นลุงเอาข่ายลงไปดักปลาที่ห้วยคลองใหญ่ แต่ระหว่างที่งมปลาอยู่ก็ไปเจอกับกล่องสี่เหลี่ยมที่อยู่ใต้น้ำ ไม่คิดว่าจะเป็นกับระเบิด ไม่ได้ระวังตัว ขณะที่ยกขึ้นมาดู เพียงเสี้ยววินาทีกล่องนั้นก็ระเบิดตูมสนั่นไปทั้งลำห้วย ทำให้ลุงมีสภาพเช่นทุกวันนี้” ลุงวาส เล่าทั้งน้ำตา
ด้วยความ “เสียสละ” เมื่อครั้งสวมเครื่องแบบทหารพรานเกินกว่า 6 เดือน ลุงวาสจึงได้รับสิทธิ์เป็น “ทหารผ่านศึก” ชั้น 4 ได้สิทธิ์รักษาตัวที่โรงพยาบาลทหารผ่านศึก แต่ “แผลกาย” รักษาง่ายกว่า “แผลใจ” เพราะหลังชีวิตผกผันจิตใจของเขาก็ “ท้อแท้” อย่างยิ่ง มีหลายๆ ครั้งที่เขาคิด “ฆ่าตัวตาย” เพราะน้อยใจที่โชคชะตาแปรเปลี่ยนเขาจากบุรุษร่างกายกำยำ อวัยวะครบ 32 กลายเป็นคนพิการ รับตัวเองไม่ได้ที่ต้องถูกผู้คนมองด้วยสายตาเวทนา และมีสภาพเหมือน “หมาขี้เรื้อน”
“ลุงนึกท้อใจว่าทำไมต้องกลายเป็นคนพิการ จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม อยู่ไปก็เป็นภาระครอบครัว สภาพเหมือนหมาขี้เรื้อน หลังออกจากโรงพยาบาลคิดจะฆ่าตัวตายหลายครั้ง แต่สุดท้ายคิดได้ว่าเราแค่พิการ แต่ยังไม่ตาย หากยังมีชีวิตอยู่อาจทำประโยชน์และเป็นกำลังให้ครอบครัวได้”
ชีวิตยังไม่สิ้น ก็ต้องดิ้นกันต่อ...
เมื่อฉุกคิดได้ว่าคนตาบอดอื่นๆยังใช้ชีวิตอยู่ได้ เราก็ต้องอยู่ได้ ลุงวาสจึงฝึกฝนตนเองให้คุ้นชินกับ “โลกมืด”กระทั่งตั้งหลักได้ เขาจึงมุ่งหน้าเรียนด้านการ “นวด” และเข้าทำงานในร้านนวดแผนโบราณแห่งหนึ่ง แต่อยู่ได้ 6 เดือนก็ลาออก เพราะไม่ต้องการเป็นภาระของร้านที่ต้องจ่ายเงินเดือนให้ ทั้งๆที่ไม่มีลูกค้าเลือกนวดกับเขา เพียงเพราะเป็นคนพิการ และไม่มั่นใจที่เขามีแขนเดียว
ภายใต้โลกมืด กลับมีแสงสว่าง...
“ลุงวาส” หันไปช่วยงาน พร้อมๆ กับเรียนร้องเพลงกับ “วงตาทิพย์” วงดนตรีคนตาบอดที่ดังที่สุดในประเทศไทย ภายใต้การดูแลของสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย จนมีฝีมือเข้าขั้น “อาจารย์” แต่ด้วยความไม่สะดวกต่อการดูแลครอบครัว คือ ภรรยา 1 คน ลูกสาว 2 คนหลาน 4 คน และเด็กกำพร้าอีกหลายคนที่พ่อแม่ติดคุก แล้วเขารับ “อุปการะ” ไว้ ลุงวาสจึงลาออกจากวง แม้จะถูกทัดทาน
“พอลาออกลุงก็ไปเป็นนักร้องเดี่ยวเต็มตัว จ้างพี่เลี้ยงให้พาไปร้องเพลงตามสถานที่ต่างๆ เช่น ร้านอาหาร ตลาดสี่มุมเมือง หรือย่านนวนคร จนบีทีเอสเปิดใช้งานได้ 1 ปี ก็มาปักหลักอยู่ตรงนี้ มาทำงานทุกวันตั้งแต่ 6 โมงเช้าถึง 2 ทุ่ม”
“ลุงวาส” บอกว่า กว่า 8 ปีที่ปักหลักตรงนี้ นอกจากไม่เคยมีหน่วยงานใดมาช่วยเหลือแล้ว ซ้ำร้ายกลับมีปัญหาถูก “ไล่จับ” เพราะเดิมอาชีพอย่างเขาถูกตีความเป็น “ขอทาน” เขาซึ่งมีตำแหน่งเป็นที่ปรึกษาให้กับสมาคมส่งเสริมอาชีพและสวัสดิการคนตาบอด และสมาคมสร้างศิลปินเพื่อคนตาบอด จึงรวบรวมสมาชิกเดินหน้าเรียกร้อง จนรัฐบาลเห็นใจคลอด พ.ร.บ.ขอทานฉบับใหม่
ยก “ศิลปินวณิพก” เป็น “นักแสดง” ไม่ใช่ขอทานอีกต่อไปทำให้สามารถทำการแสดงได้ ถ้ามีใบอนุญาตจากท้องถิ่น
“หวังว่าเรื่องราวชีวิตของลุงจะเป็นแรงบันดาลใจให้ผู้ที่กำลังคิดฆ่าตัวตาย ไม่มีกำลังใจสู้ต่อ อยากให้คิดว่ายังมีคนอีกมากที่มีปัญหามากกว่าเรา เขายังดิ้นรนสู้ และมีชีวิตอยู่ได้ด้วยเรี่ยวแรงตัวเอง”
ขบวนรถไฟฟ้านำผู้คนมาถึงสถานีบีทีเอส หมอชิต อีกครั้ง “ลุงวาส” ขอตัวไปขับขานเสียงเพลงที่เรียบเรียงจาก “ประสบการณ์ชีวิต” ให้ผู้คนที่สัญจรไปมาสดับรับฟัง ด้วยหวังว่าจะเป็นกำลังใจ และให้แง่คิดแก่ผู้ที่กำลังอ่อนล้า ให้ “ลุกขึ้นสู้” อีกครั้ง...
SCOOP@NAEWNA.COM
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี